วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การถ่ายทอดความเป็นสัจนิยมใน “คนนอก”และ “สิทธารถะ”
โดยกิรณา กิตติคูณธนา (กวาง)
นักเรียนเกรด ๑๒
โรงเรียนนานาาติคอนคอร์เดียน

โศกนาฏกรรมทางใจของสองตัวละครเอก”เมอโซ” จาก คนนอก โดย อัลแบร์ กามูและ”สิทธารถะ” จากสิทธารถะ โดย เฮอร์มานน์ เฮสเส ได้ถูกถ่ายทอดผ่านการวางโครงเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง ฉาก ตัวละคร และสัญลักษณ์ที่สมจริงและขาดการปรุงแต่งเพื่อความสละสลวยใดๆ ทั้งนี้เพื่อถ่ายทอดอารมณ์และจิตวิญญาณแห่งความเป็นสัจนิยม* (realism) [1] วรรณกรรมทั้งสองเรื่องนั้นเป็นดั่งภาพเงาสะท้อนความจริง ซึ่งส่งผลให้ผู่อ่านสามารถสัมผัสถึงความคิด จิตใจ และความรู้สึกของตัวละคร และซึมซับความจริงที่มองเห็นได้อย่างที่ผู้แต่งได้ราวกับได้สัมผัสเรื่องราวนั้นๆด้วยตนเอง
ทั้งกามูและเฮสเสต่างวางโครงเรื่องที่สมจริงเพื่อถ่ายทอดความขัดแย้งระหว่างมนุษย์และสังคมโดยการสร้างปมปัญหาให้ตัวละครเอกมีคุณสมบัติของการเป็นแอ็ปเสิร์ดฮีโร่ (Absurd hero) เรื่องราวของทั้งเมอโซและสิทธารถะจึงเต็มไปด้วยปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงและไม่ได้แปลกหรือน่าสนใจแต่อย่างใด โดยที่ผู้แต่งสร้างจุดเชื่อมต่อระหว่างผู้อ่านและตัวละครไว้ด้วยความตาย ทั้งการตายของแม่เมอโซ งานศพที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของความตึงเครียด ความกดดันจากการ ทนฟัง “เสียงดูดเหงือกของตาแก่บางคน” ทั้งหมดล้วนสื่อให้เห็นถึงความจริงของความไม่แน่นอนในชีวิต เป็นความแอ็ปเสิร์ดของเรื่องราวที่สมควรจะตึงเครียดแต่กลับถูกบรรยายด้วยถ้อยคำชวนหัวเราะอย่าง “ดูดเหงือก” ซึ่งสื่อให้เห็นถึงความสุขเล็กน้อยที่สามารถหาได้จากความธรรมดาให้ชีวิตหากเพียงเราจะยอมรับความจริงตามอย่างที่เป็น
ในส่วนของสิทธารถะ “ชายหนุ่มผู้เกิดในตระกูลพราหมน์ เพรียบพร้อมไปด้วยรูปทรัพย์...” แต่ไม่มีความสุขทางใจ การค้นไม่พบความสุขในสิ่งที่ผู้คนทั่วไปมองเหมือนความสมบูรณ์แบบนั้นก็เป็นเรื่องทั่วไปไม่ต่างกับชีวิตผู้อ่านเท่าไหร่นักซึ่งจะสามารถทำให้ผู้อ่านเข้าถึงตัวละครได้เพราะในชีวิตผู้อ่านเองก็มิอาจเข้าถึงความสุขทางใจได้เช่นกัน และเมื่อตัวละครเอกสามารถผ่านพ้นช่วงแห่งอัตถภาวนิยม (existential crisis) จึงทำให้ผู้อ่านเกิดความพึงพอใจและหาความหมายกับวรรณกรรมได้
ในด้านการสร้างตัวละคร ผู้แต่งนำเสนอจุดเชื่อมต่อระหว่างวรรณกรรมและผู้อ่านโดยการสร้างตัวละครที่มีความธรรมดา เมอโซเป็นชายหนุ่มช่างคิด มีเหตุผล มนุษย์เงินเดือนที่ดำเนินชีวิตแบบเครื่องจักรกลบนความเป็นสัจนิยม ผู้ที่ไม่สามารถโกหกหรือเสริมแต่งความจริงได้ เห็นได้จากการบรรยายบรรยากาศในงานศพแม่ เมอโซได้ “ดื่มกาแฟใส่นมรสดี” หลังจากทนอยู่กับการ “เจ็บตรงใต้บั้นเอว” และการนั่งเฝ้าศพ ทั้งๆที่การดื่มกาแฟนมเป็นการผิดประเพณีในสถานการณ์ที่ควรแก่การแสดงความเสียใจ แต่ในความจริงใจต่อความรู้สึกของตนและสัญชาตญาณการต่อต้านอำนาจที่เหนือกว่า เมอโซก็กระทำไปเช่นนั้น
กลวิธีการนำเสนอตัวละครเมอโซของผู้แต่งตามความเป็นจริงและตามหลักของเหตุผลโดยปราศจากการเสริมแต่งให้ดูดีตลอดการดำเนินเรื่อง “เมื่อสมัยยังเป็นนักศึกษา ฉันมีความทะเยอทะยานชนิดนี้มาก แต่เมื่อฉันต้องละทิ้งการศึกษาเสียกลางคัน ฉันจึงเข้าใจว่าทั้งหมดนี้หามีความสำคัญอย่างแท้จริงไม่” (คนนอก: หน้า69) แสดงให้เห็นถึงการที่ตัวละครมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนจริง หมดหวังกับชีวิตได้ สื่อให้เมอโซเป็นตัวละครเอกที่เป็นจุดหักเหในด้านลบและมีจุดจบอันน่าอนาถ (Tragic Hero) หรือตัวละครเอกที่ตัดสินใจผิดในช่วงจุด
ไคลแม็กซ์จนนำไปสู่จุดหักเหไปในทางลบ การไม่เสียใจในงานศพแม่หรือกระทำการภายใต้อำนาจของของธรรมชาติที่เหนือการควบคุมเพียงแลกมาซึ่งความสุขทางกาย จึงทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าการกระทำอันเป็นขบฎต่อสังคมนั้น คือการกระทำตามความจริงของตน โดยมิได้พยายามปรับแต่งให้ดูดีในสายตาสังคม
ในทางกลับกัน จากเรื่อง สิทธารถะ ชายหนุ่มผู้เกิดในตระกูลพราหมณ์ ผู้เพรียบพร้อมไปด้วยรูปทรัพย์ ที่ดำเนินชีวิตการเป็นพราหมณ์ที่สมบูรณ์แบบทุกประการ “เฉลียวฉลาดและกระหายความรู้ ได้เห็นบุตรเติบโตเป็นปราชญ์ฉลาดล้ำ เป็นนักบวช เป็นเจ้าชายในหมู่พราหมณ์ด้วยกัน” (สิทธารถะ: หน้า 4) เมื่อสิทธารถะผู้ไม่พอใจกับความสมบูรณ์อันเกินจริงและ “ความรักที่บิดามารดาและโควินทะมีต่อเขานั้นไม่อาจทำให้เขามีความสุขได้ตลอดไป” (สิะธาถะ: หน้า 5) เขาเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความสุข ความเข้าใจชีวิตที่แท้จริง และขีดเส้นกั้นตนเองออกจากสังคมสวมหน้ากาก เพื่อการแสวงหาความจริงจึงไม่อาจเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมแต่งความสุขอันเกินความจริงได้อีก
กลวิธีการนำเสนอตัวละครเอก สิทธารถะนั้น มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเมอโซ ในช่วงแรกของเรื่อง เฮอร์มานน์ เฮสเส ได้จงใจเลือกใช้ศัพท์หรูหราในการพรรณาถึงสิทธารถะอย่างเกินจริง (Hyperbole) เช่น “ดวงตาดุจเนตรราชา” และ “เจ้าชายในหมู่พรามณ์” (สิทธารถะ: หน้า 4) เพื่อให้เกิดภาพแห่งความสมบูรณ์แบบ ต่อมาครั้นสิทธารถะได้เข้าถึงแก่นของความจริงและชีวิตมากขึ้นนั้น การนำเสนอตัวละครของเฮสเสก็ได้เปลี่ยนไปในแนวสัจนิยมตามลำดับความเข้าใจชีวิตของสิทธารถะ การบรรยายพราหมณ์หนุ่มผู้ครอบครอง “หน้าผากกว้าง ดวงตาดุจเนตรพระราชา และเรื่อนร่างสูงสง่า” (สิะธาถะ: หน้า 4) กลับกลายเป็นชายชราคนแจวเรือผู้เข้าใจชีวิตและความจริงอย่างถ่องแท้เมื่อสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป การนำเสนอความเปลี่ยนแปลงของตัวละครเช่นนี้ ได้สื่อให้ผู้อ่านเห็นถึงความเป็นเป็นขบฎต่อกฎเกณท์ความเชื่อของสังคม และทำให้ตัวละครดูน่าสงสารเมื่อต้องผ่านการต่อสู้กับโลก กิเลส “ความเหน็ดหน่ายค่อยๆมาเยือนสิทธารถะ...และหนักมากขึ้นทุกปี” (สิะธาถะ: หน้า 74) และ “เขาถูกตรึงอยู่ในวัฎสงสารสิทธารถะหน่ายชีวิตเต็มกลืน...มีแต่ความโศกเศร้า...สิทธารถะอยากหลับ อยากจะพัก อยากจะตาย” (สิะธาถะ: หน้า 83) และความสับสนในความจริงมาตลอดการดำเนินเรื่อง
ด้านโครงสร้างของนวนิยาย ในเรื่องคนนอกนั้น กามูได้แสดงสัจนิยมผ่านการใช้โวหาร (Literary Feature) หลักๆเช่นฉาก รูปแบบของประโยคที่สั้น ได้ใจความ เช่น “ฉันเข้าไปในห้องซึ่งสว่างไสว ฉาบด้วยปูนขาว ปิดทับอีกทีด้วยกระจก...” (คนนอก: หน้า 25) และ “พื้นเตียงและที่นอนอัดด้วยฟาง...” (คนนอก: หน้า 114) และศัพท์ที่ไม่หรูหรา เพื่อเน้นย้ำถึงสภาพที่ปรากฎตามความเป็นจริง “ปูนขาว”และ“พื้นเตียงและที่นอนอัดด้วยฟาง” แสดงให้เห็นถึงการบรรยายความจริงที่ไม่มีอะไรเลย แต่ยังสามารถเห็นภาพนั้นๆได้ นอกจากนั้น เนื่องด้วย คนนอก มีกลวิธีการเล่าเรื่องในมุมมองของบุคคลที่ ๑ (First person point of view) หรือการที่เมอโซเป็นผู้เล่าเรื่องเสียเอง การบรรยายฉากของผู้แต่งจึงบรรยายตามความจริงเพื่อยืนยันความบริสุทธ์ของเมอโซ ย้ำว่าเขาไม่ได้เพียงเล่าเรื่องเข้าข้างตนเองเพื่อสร้างความบริสุทธ์จอมปลอม แต่ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามความจริงที่ปรากฎทั้งสิ้น และเมื่ออัยการเบนประเด็นความผิดไปจากความจริงตามหลักความจริงที่เกิดขึ้น เมอโซถึงกับ “มึนงงจากความร้อนและประหลาดใจ” (คนนอก: หน้า 143) ราวกับการกระทำของเขาเป็นไปตามแรงดันของธรรมชาติและเขามิได้ทำอะไรไปโดยเจตนาและไม่ได้แก้ตัว
ในส่วนของ สิทธารถะ เฮสเส เฉกเช่นเดียวกันกับกามู ได้ใช้โวหาร (Literary Feature) ได้แก่ การสร้างฉาก การย้อนเรื่องทวนต้น (Flashback) และการใช้คำศัพท์เฉพาะบรรยายความสมจริงของเรื่อง โดยมีกลวิธีการเล่าเรื่องในมุมมองของบุคคลที่ ๓ (Third person point of view) ซึ่งพิสูจน์ความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นจากการเล่าเรื่องโดยผู้บรรยายผู้รอบรู้ (Omniscient Narrator) ในฉากการตรัสรู้สึ่งเป็นฉากไคลแมกซ์ของเรื่อง[2] ซึ่งมีความต่างกับ คนนอก ที่น้ำเป็นนายเหนือความเชื่อพื้นๆของสังคม น้ำทำให้เห็นถึงชีวิต ก่อให้เกิดการทวนต้น (Flashback) ไปถึงเรื่องราวชีวิตซึ่งจมหลงอยู่ในกิเลสทางโลกและการใช้ชีวิตในรูปแบบที่ทำแล้วไม่เกิดผลลัพท์ของความสงบอย่างแท้จริง และนำมาซึ่งความเข้าใจถึงความเป็นหนึ่งของทุกสรรพสิ่ง “แม้น่ำไหลเอื่อยอ่อน แม้เป็นฤดูแล้งแต่เสียงน้ำกึกก้องน่าฉงน” (สิะธาถะ: หน้า 127) เงาในน้ำเตือนถึงอดีตอันลืมเลือน เตือนถึงสัจธรรมในการใช้ชีวิต “เขาเห็นภาพหลายภาพพลิ้วไหวอยู่ในสายน้ำที่ไหลเอื่อย” (สิทธารถะ: หน้า 130) เมื่อการทวนต้นเหตุการณ์ในชีวิตทำให้เขารู้ว่าพลาดความจริงพื้นๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเพียงชื่อและคำบรรยาย แต่ที่รวมกันคือโลก ที่รวมกันคือ “กระแสของเหตุการณ์เป็นดนตรีแห่งชีวิต” (สิทธารถะ: หน้า 131) ราวกับการเห็นแจ้งของสิทธารถะว่าชีวิตเป็นราวสายน้ำ ที่ไหลไปไม่หวนทวนกลับ และดำเนินไปตามที่มันควรจะเป็น หากจะทวนกระแสน้ำอย่างที่เคย ก็จะมีเพียงความทุกข์จากการดิ้นรนเท่านั้นที่เกิดเป็นผลลัพธ์
ทั้งเมอโซ และสิทธารถะต่างก็มีความเข้าใจความจริงนี้อย่างถ่องแท้ เมื่อตัวละครเอกอธิบายความเป็นหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาตินั้น สัญลักษณ์อย่างเดียวกันได้ถูกยกขึ้นมากล่าว โดยใช้ “หิน” เป็นตัวแทนของความจริงดั่งปรากฎ โดยที่ความเข้าใจในสัจนิยมของสองตัวละคร เมอโซ กับ สิทธารถะ ต่างก็นำมาซึ่งความปลงและความเข้าใจอันลึกซึ้งและผิวเผินในขณะเดียวกัน ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นทุกอย่างและไม่เป็นอะไรเลย
เมอโซใช้ “หิน”ในการอธิบายสัจนิยมต่อหลวงพ่อ สื่อว่าไม่เกิดประโยชน์อันใดจากการจินตนาการอิสรภาพที่ไม่มีจริง “ความปวดร้าวในหัวใจ” หรือ “ใบหน้าของพระองค์ท่างกลางความมืดมน” เมื่อในความเป็นจริง “มันไม่เคยมีอะไรปรากฎออกมาเลย แม้แต่คนที่ฉันรู้จักอย่างดีในโลกนี้” (คนนอก: หน้า 164) นับประสาอะไรกับการเชื่อหวังในลางและสิ่งเหนือความจริงอันสำผัสได้ทางกาย การจินตนาการความสุขหรือการหลุดพ้นนั้นไม่ได้ทำให้ความจริงของความทุกข์แปรผันไปแต่อย่างใด
ด้านสิทธารถะ “หิน” เป็นสัญลักษณ์ (Symbol)ที่ถูกใช้เพื่อแทนชีวิตตามความเป็นจริง จากการสังเกตธรรมชาติ กลมกลืนกลับสู่ธรรมชาติผู้ให้กำเนิดชีวิต “หิน” เป็น “ทุกสิ่งมานานแล้ว และจะเป็นทุกสิ่งตลอดไป” หินที่ “ปรากฎเป็นเป็นหินอยู่ต่อหน้าผม” ความหมายและคุณค่าใน “สีเหลือง สีเทา” “ในความแข็ง” “ในความแห้งและชื้นบนพื้นผิวของมัน” (สิะธาถะ: หน้า 141) หินเป็นได้ทุกสิ่ง ไม่เพียงแค่หิน เมื่อกาลเวลาผ่านไป “หิน” จะกลายเป็นดิน เป็นปุ๋ย เป็นต้นไม้ แต่กระนั้น หินก็คือหินตามลักษณะที่ปรากฎต่อการสัมผัสทางกาย เข่นเดียวกัน แม้ในจินตนาการ”หิน”จะเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งหรือการอยู่ค้ำฟ้า แต่ใจความจริงแล้ว”หิน”ก็เป็นอย่างนั้น แปรผันไปตามกาลเวลา มีสึกกร่อน มีอ่อนเอนตามธรรมชาติของมัน
สัจนิยมในเรื่อง คนนอก และ สิทธารถะ ทำหน้าที่เป็นต้นเหตุของการฆ่าตกรรม กลวิธีการดำเนินเรื่องตามเหตุ ตามรูปลักษณ์ที่เกิดขึ้นจริง และข้อไขเค้าความนวนิยาย (Denouement) หนึ่งฆาตกรคือเมอโซ อีกหนึ่งผู้ที่ตรัสรู้แล้วคือสิทธารถะ การกระทำของทั้งเมอโซและสิทธารถะล้วนมีสัจนิยมเป็นเหตุและคำตอบ ทั้งกามู และเฮสเส ต่างก็ใช้ตัวละคร ฉาก สัญลักษณ์ และโครงสร้างเรื่องสื่อหลักสัจนิยมต่อผู้อ่านเพื่อชี้ให้เห็นถึงความหมาย หลักการของชีวิต ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีความซับซ้อน มีเพียงความง่าย และความเป็นหนึ่งของทุกสิ่ง ทิ้งแนวคิดใหม่ๆอิงหลักสัจนิยมไว้ให้ผู้อ่านได้มองชีวิตในอีกมุมหนึ่งอย่างน่าอัศจรรย์

Word count: 1450











บรรณานุกรม
ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์. (๒๕๔๕). ความแอ็บเสิร์ด การโกหก และชายอาหรับ, อ่านไม่เอาเรื่อง.
กรุงเทพ: สำนักพิมพ์คบไฟ.
อัลแบร์ กามู. (๒๕๔๙). คนนอก. กรุงเทพ: สามัญชน.
เฮอร์มานน์ เฮสเส. (๒๕๔๙). สิทธารถะ. กรุงเทพ: สร้างสรรค์บุ๊คส์.
รังสรรค์ กลิ่นแก้ว. (๒๕๔๗). ปรัชญาการศึกษา. (ออนไลน์).
http://school.net.th/library/create-web/10000/philosophy/10000-12726.html
นพดล ดีไทยสงค์. รายงานเรื่อง: ปรัชญาสัจนิยม. (ออนไลน์).
http://www.m-ed.net/doc01/realism.doc


*ความเชื่อว่าจิตของผู้รับรู้ไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบของสิ่งที่ปรากฏ หรือก็คือ ความจริงคือสิ่งที่ปรากฏโดยปราศจากการเสริมแต่ง
1. http://school.net.th/library/create-web/10000-12726.html
[2] “ใบหน้าสิทธารถะบิดเบี้ยวขณะเพ่งมองน้ำ เขาเห็นเงาสะท้อนขึ้นมา...แต่แล้วชายผู้สิ้นหวังกลับได้ยินเสียง...คำขึ้นต้นและลงท้ายบทสวดของพราหมณ์ โอม”

มุมมอง: เมอโซและสิทธารถะ

มุมมอง: เมอโซและ สิทธารถะ
โดยนางสาว อุมา ม้าศัล
นักเรียนเกรด ๑๒
โรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน

มุมมอง คือกลวิธีในการเล่าเรื่องโดยผ่านสายตา หรือทัศนะของใครคนนั้น การที่ผู้แต่งให้ใครเป็นผู้เล่าเรื่องย่อมมีความสำคัญและมีผลกระทบต่อการนำเสนอ และการสร้างเอกลักษณะของตัวละครในเรื่อง จากเรื่อง “คนนอก” โดย ฮัลแบร์ กามู นักเขียนชาวฝรั่งเศสและ “สิทธารถะ” โดย เฮอร์มานน์ เฮสเส นักเขียนชาวเยอรมันเป็นสองวรรณกรรมที่มีความสอดคล้องกันในด้านมุมมอง (point of view) ทางสังคมที่ส่งผลให้ตัวละครทั้งสองเป็นผู้ที่ถูกมอง และถูกตัดสินจากมาตรฐานและ กฎเกณฑ์ของสังคม แต่แตกต่างกันเพียงที่ “เมอโซ” จากคนนอกเป็นผู้ที่ถูกสังคมมองว่าเป็นผู้กระทำผิดด้วยการไม่เคารพกฎเกณฑ์ และมาตรฐานของสังคม แต่ “สิทธารถะ” จากสิทธารถะถูกตัดสินให้เป็นบุคคลที่น่าชื่นชมของสังคม
ทั้งตัวเมอโซและ สิทธารถะต่างเป็นผู้ที่ถูกมองและ ผู้ที่ถูกตัดสินจากมุมมองของสังคม แต่ทำไมผู้อ่านส่วนใหญ่ถึงเอาใจช่วยและ นึกสงสารเมอโซมากกว่าสิทธารถะในเวลาที่ประสบเรื่องลำบากในเรื่อง เพียงอยู่แต่คนเดียว นี่เป็นเพราะกลวิธี (Literary feature) ในการประพันธ์ของกามูที่เน้นใช้การเล่าเรื่องโดยบุรุษที่หนึ่ง (First-person points of view) เป็นวิธีการ “…จำกัดการเล่าเรื่องให้อยู่แต่ในสิ่งที่ผู้เล่าซึ่งเป็นบุรุษที่หนึ่งรู้ ประสบพบเห็น ลงความเห็น หรือทราบได้ด้วยการสนทนากับตัวละครอื่น” (อธิบายศัพท์วรรณคดี: หน้า ๒๖๖) กามูได้ใช้ตัวละครเอกเมอโซเป็นผู้เล่าเรื่องซึ่งเป็นบุรุษที่หนึ่งตั้งแต่เริ่มจนจบเรื่องเพื่อถ่ายทอดความรู้สึก อารมณ์และความคิดเห็นของผู้แต่งที่ได้กลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละครสู่ผู้อ่านโดยตรง เพื่อให้ให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงความรู้สึก และ อรรถรสในการอ่านที่ลึกซึ้ง และแท้จริงดังได้อยู่กับตัวละครตัวต่อตัว ตัวอย่างเช่นตอนเริ่มเรื่อง “วันนี้สินะที่แม่ตาย หรือว่าเมื่อวานนี้ฉันก็ไม่รู้แน่” (หน้า ๒๑) จากข้อมูลอ้างอิงนี้ เราสามารถสังเกตได้ว่ากามูได้กำหนดการใช้กลวิธีการเล่าเรื่องโดยบุรุษที่หนึ่งในรูปแบบบทพูดเดี่ยวในใจ (Interior monologue) โดยให้เมอโซเป็นผู้เล่าเหตุการณ์ตอนเริ่มเรื่องด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมาภายในใจของตนที่ไร้ความเอาใจใส่ ความอาลัยอาวรณ์ และความเสียใจในการตายของแม่ตน เพราะตนเองก็ยังไม่รู้เลยว่าตกลงแล้วแม่ของตนนั้นเสียชีวิตวันไหนกันแน่ ด้วยเหตุการณ์นำเสนอผู้อ่านด้วยความคิดภายในใจของตัวละครเช่นนี้ เราจึงสามารถเห็นถึงลักษณะนิสัย หรือ “สันดาน” ของตัวละครที่นำพาตนเองมาสู่การเป็นผู้ที่ถูกมอง และถูกตัดสินจากมาตรฐานและ กฎเกณฑ์ของสังคม
อย่างไรก็ตามในด้านของสิทธารถะนั้นแตกต่างไปจากเมอโซ เพราะได้ถูกตัดสินให้เป็นบุคคลที่น่าชื่นชมของสังคมเนื่องจากการเลือกใช้กลวิธีนำเสนอเรื่องของเฮสเสที่แตกต่างไปจากกามูโดยสิ้นเชิง เฮสเสนั้นเลือกที่จะใช้กลวิธีการเล่าเรื่องโดยบุรุษที่สาม (Third-person points of view) Third-person points of view คือวิธีการ “…เล่าเรื่องที่ผู้เล่าเล่าอย่างรู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่าง (Omniscient point of view) ผู้เล่าเรื่องประเภทนี้รู้อะไรทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวละครและ เหตุการณ์มีอิสระเสรีที่จะไปไหนมาไหนได้ตามความพอใจ ขณะที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวละครตัวหนึ่งก็สามารถเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวละครอีกตัวหนึ่งได้ด้วย” (อธิบายศัพท์วรรณคดี: หน้า ๒๖๗) เฮสเสได้ใช้ตนเองในฐานะเป็นผู้ประพันธ์ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดและ บันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่อง โดยมี สิทธารถะและ ตัวละครอื่นเช่น “มารดา” และ “บิดา” มาเป็นส่วนประกอบในเรื่องโดยไม่อธิบายความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละตัวเลย เพราะฉะนั้นผู้อ่านจึงไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึก และ อรรถรสในการอ่านที่ลึกซึ้งมากนัก ยกตัวอย่างเช่นในตอนเริ่มเรื่อง
“อาบน้ำชำระกายในพิธีสังเวยศักดิ์สิทธิ์ นัยน์ตาเขาเป็นประกายแจ่มใสขณะวิ่งเล่นอยู่กลางสวนมะม่วงหรือยามฟังมารดาเห่กล่อมหรือเมื่อสงบฟังคำสอนของบิดา กระทั่งเมื่ออยู่ในหมู่ปราชญ์...” (หน้า ๓)
จากข้อมูลอ้างอิงนี้ เราสามารถเห็นได้ว่าเฮสเสได้ใช้กลวิธีการเล่าเรื่องโดยบุรุษที่สามที่เป็นไปในรูปแบบการใช้ ภาพลวง (Illusion) ที่เหมือนกับชีวประวัติของพระพุทธเจ้าที่เริ่มแรกดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าชายในหมวดหมู่คนชั้นสูงอย่าง พราหมณ์กษัตริย์ที่มีความเคร่งครัดในเรื่องการให้ความเคารพแก่ศาสนา และการปฎิบัติที่เป็นไปตามภาวะหน้าที่ของสังคม เฮสเสได้ใช้กลวิธีนี้แทนที่การใช้กลวิธีการเล่าเรื่องโดยบุรุษที่หนึ่งในรูปแบบบทพูดเดี่ยวในใจเหมือนกับกามู หากแต่เฮอร์มานน์ เฮสเสเพียงแค่บรรยาถึงสถานที่ที่ตั้งของเรื่องซึ่งมีสิทธารถะเป็นตัวประกอบ เฮสเสไม่ได้สร้างให้ตัวละครสิทธารถะ
สนทนาตอบโต้กับตัวเองและผู้อ่าน จึงทำให้ผู้อ่านมีมุมมองที่ไม่หักโหมที่เข้าข้าง และลุ้นละทึกไปกับตัวละคร เพราะผู้ประพันธ์ต้องการให้รูปแบบการเขียนออกมาเป็นลักษณะการเล่าเรื่องและบรรยายเหตุการณ์ณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละคร และด้วยเหตุผลการนำเสนอเนื้อเรื่องที่แตกต่างกันนี้นี้เองที่นำพามาซึ่งการสร้างเอกลักษณ์ของตัวละคร (Characterization) ที่แตกต่างในสองวรรณกรรม
เมอโซเป็นตัวละครที่กามูสร้าง และกำหนดให้เป็นตัวละครมิติเดียว (Static Character) เพื่อนำเสนอให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงลักษณะนิสัย หรือ “สันดาน” ของตัวละครเพียงด้านเดียว ที่คงเอกลักษณะในด้านความคิดและ มุมมองของตนตั้งแต่ต้น จนจบเรื่อง เช่นในตอนที่เมอโซได้ถูกตัดสินให้เป็นผู้กระทำผิดโดยอัยการ
“ท่านคณะลูกขุนในวันรุ่งขึ้นหลังจากวันฝังศพของมารดาเขา ชายผู้นี้ได้ไปว้ายน้ำเริ่มมีความสัมพันธ์อันไม่สม่ำเสมอกับหญิงคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีแก่ใจไปหาความสนุกสนานโดยการดูหนังตลก ข้าพเจ้ามีอะไรมากกว่านั้นจะบอกท่านแล้ว” (หน้า ๑๓๑)
จากข้อมูลอ้างอิงที่ศึกษา การตัดสินของอัยการ คือตัวแทนของกฎหมาย และมาตรฐานของสังคมที่ทุกคนต้องทำตามเพื่อที่จะสามารถรักษาความถูกต้อง และความอยู่รอดของตนภายในสังคม แต่ในกรณีของเมอโซ ตัวละครได้สูญเสียความถูกต้อง และชีวิตของตนในที่สุดเพราะได้กระทำสิ่งที่ผิดแปลกแตกต่างไปจากผู้คนอื่นๆในสังคมโดย ไม่ได้รู้สึกเลียใจ สูบบุรี่ ดื่มกาแฟดำใส่นมซึ่งตามประเพณีที่ว่า“ฝรั่งจะดื่มกาแฟดำตอนงานศพเท่านั้น ห้ามใส่นม” ในวันงานศพของมารดาของตนในช่วงต้นเรื่อง
“สันดาน” ดิบของตัวตัวละครที่พรรณนาว่า “ฉันเป็นคนมีสันดานแบบที่ความต้องการทางร่างกายจะรบกวนความรู้สึกอยู่บ่อยๆ” (หน้า ๗๖) เมอร์โซเป็นคนยึดถือการทำตามใจ และความต้องการทางร่างกายของตนเป็นหลัก เมื่อเขารู้สึกอยากจะไปว่ายน้ำ และหาความสนุก ความสุขให้ตัวเอง เขาก็จะทำอย่างที่เขารู้สึกเพราะนั้นคือสิ่งที่เขาปรารถนาในเวลาช่วงนั้น อัยการรู้ได้อย่างไรว่าเมอโซไม่รู้สึกเสียใจในการตายของมารดาของเขา เขาอาจจะรู้สึกเสียใจก็ได้เพราะ“ฉันรักแม่มาก” (หน้า ๙๕) และ “สิ่งที่ฉันพอจะพูดได้เต็มปากก็คือ ปรารถนาให้แม่ยังมีชีวิตอยู่ (หน้า๙๖) เมอโซรักแม่มากและ หวังที่จะให้แม่ของตนมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ด้วยเพราะเขา มีความเข้าใจโลกของความเป็นจริงอย่างลึกซึ้ง “…ความรักนั้นไม่ได้มีความหมายอะไร” (หน้า ๖๑) จึงทำให้เมอโซไม่คิดและ รู้สึกที่จะเสียใจเพราะสำหรับเมอโซแล้ว ความรักไม่ได้หมายถึงการครอบครองยึดถือสิ่งที่ตนรักไว้กับตัวได้ตลอดเวลา เมอโซเลือกที่จะไม่ยึดติดกับความรักและ นำมาเป็นข้อจำกัดให้กับตนเอง เพราะเขาเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่จะต้องตายและ นี้ก็คือ “มนุษย์เราที่มีสุขภาพจิตสมบูรณ์…” (หน้า ๙๕) ในแบบของเมอโซ
ถึงกระนั้นในด้านของสิทธาระถะ เฮสเสได้สร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างให้แก่ตัวละครของตนเป็นตัวละครหลายมิติ (Dynamic Character) เพื่อเสนอให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงเอกลักษณะของตัวละครในหลายๆด้านที่มี พัฒนาการทางด้านความคิดและ มุมมองของตนตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มจนจบเรื่อง ตัวอย่างเช่นตอนเริ่มเรื่อง “ส่วนมารดานั้นเล่าเธอภูมิใจบุตรชายล้นอก ทุกครั้งที่ได้เห็นอิริยาบถลูกยามเดิน ลุก นั่ง สิทธารถะแข็งแรง ดวงหน้างามหมดจด แขนขาคล่องแคล่อ กลมกลึงยามทำความเคารพมาดา เขากระทำได้สง่างามสมบรูณ์แบบ” (หน้า ๔) จากข้อมูลอ้างอิงในตอนเริ่มเรื่องนี้ สามารถสังเกตได้ว่าสิทธารถะเป็นที่น่าชื้นชมยกย่องในสังคม เพราะเขานั้นมีเอกลักษณะนิสัยที่ให้ความ “เคารพ” พ่อแม่ของตนซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด โดยฟังคำสอนและ รวมไปถึงศาสนาการอาบน้ำชำระกายในพิธีสังเวยศักดิ์สิทธิ์ที่คนอื่นเขาทำกันในตอนเริ่มเรื่องสิทธารถะเคารพและ ปฏิบัติตามมาตรฐานของสังคม และประเพณีศาสนาที่บุรุษทางสังคมควรจะเป็น จึงไม่น่าแปลกที่ “มารดา” และ ธิดาพราหมณ์ทั้งหลายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคมต่างชื่นชมในการทำที่ถูกต้องตามสังคมของสิทธารถะจน “ความรักเกาะกุมใจยามได้เห็นสิทธาระถะเดินไปบนท้องถนในเมือง…” (หน้า ๔)
ด้วยเหตุผล “เคารพ” และการกระทำของสิทธารถะจึงทำให้มุมมองทางสังคมในการเป็นผู้ที่ถูกมองของเขานั้นแตกต่างไปจากเมอโซ สิทธารถะเคารพมารดาผู้เป็นคนให้กำเนิดและทำตามขั้นตอนการประกอบพิธีทางด้านศสานาในการชำระล้างบาป เพราะถูกปลูกผังมาตั้งแต่เด็ก ในขณะที่เมอโซไม่เคารพมารดาของตนที่ตายแล้ว ด้วยการไม่เสียใจ สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟดำใส่นม เพราะมีแนวทางความคิดเกี่ยวกับชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น และเป็นตัวของตัวเองไม่เหมือนกับสิทธารถะในตอนเริ่มเรื่อง ที่อายุยังน้อย และถูกอบรบให้อยู่ในกรอบเคร่งเรื่องศาสนา ด้วยความสอดคล้องในด้านการเป็นตัวละครที่ถูกมองและ ตัดสินโดยมุมมองของสังคม และผู้คน จึงนำพามาซึ่งความแตกต่างของมุมมองที่เมอโซเป็น “คนนอก” และสิทธาระถะเป็นคนในท่ามกลางสังคม
ด้วยกลวิธีในการเล่าเรื่องที่แตกต่างของทั้งสองผู้ประพันธ์จึงทำให้เกิดความแตกแต่งในความคิดของผู้อ่านเมื่อได้อ่านทั้งเรื่อง “คนนอก” และ “สิทธารถะ” ผู้อ่านจะรับรู้และ เข้าใจความคิดและ ความรู้สึกของตัวละครสิทธารถะได้เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะเฮอร์มาน์ เฮสเสไม่ได้สร้างให้ตัวละครสิทธารถะให้สนทนาตอบโต้กับตัวเองและ ผู้อ่าน (Monologue) ในขณะที่กามูโน้มน้าวเปลี่ยนมุมมองความคิดของผู้อ่านให้ยอมรับตัวละคร และลุ้นละทึกไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละคร
จากผลการศึกษาทั้งหมด เมอโซและ สิทธารถะ เป็นตัวละครสองวรรณโลกที่ล้วนตกอยู่ในฐานะผู้ถูกมองและ ถูกตัดสินจากมุมมองของสังคม แต่แตกต่างกันเพียงที่ผลลับการตัดสินของสังคมที่ถูกกำหนดให้ขึ้นอยู่กับกลวิธีการประพันธ์ของสองผู้ประพันธ์ฮัลแบร์ กามูและเฮอร์มานน์ เฮสเส ที่คัดสรรวิธีการใช้กลวิธีที่แตกต่างกัน


Word count: 1600







หนังสืออ้างอิง

อัลแบร์ กามู. (๒๕๔๙). คนนอก. กรุงเทพ: สามัญชน.

เฮอร์มานน์ เฮสเส. (๒๕๔๙). สิทธารถะ. กรุงเทพ: สร้างสรรค์บุ๊คส์.

ชัยวัฒน์. รายงานเรื่อง: “โชติศักดิ์...คุณไม่ยิ่งใหญ่เท่าเมอโซ.”. (ออนไลน์).

http://chaiwathow.multiply.com/journal/item/25/25

"แสง" และ "เสียง" ในคนนอกและคนโซ

“แสง” และ “เสียง” ใน “คนนอก” และ “คนโซ”
วิจารณ์โดย สิรีธร คุ้มสถิร (เบร)

“แสง” เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความหวังและการเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิต “แสงแดด” ช่วยให้ความอบอุ่นแก่ทุกสรรพสิ่งบนพื้นโลก หากแต่ในวรรณกรรม “คนนอก” ของ อัลแบร์ กามู ผู้ประพันธ์ได้ใช้แสงแดดเป็นสัญลักษณ์ที่นำไปสู่ความตาย แสงแดดและดวงอาทิตย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อสื่อให้เห็นถึงภาพของความเจ็บปวดและความทุรนทุรายของตัวละครเอกอย่างเมอร์โซ ซึ่งขัดแย้งต่อความเป็นจริงที่ว่า “แสงแดดนำมาซึ่งความมีชีวิต” ในขณะเดียวกัน “คนโซ” ได้มีการบรรยายเสียงที่ล้อมรอบตัวละครหลักในขณะที่เป็นเพียงตัวละครเดียวที่ได้ซึมซับบทสนทนาต่างๆรอบตัว นอกจากนี้ “เสียง” ในคนโซ ยังเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตนเองถูกยอมรับจากสังคมและไม่ถูกเหยียดยำศักดิ์ศรี การเสนอและการบรรยายเสียงใน “คนโซ” เป็นการแปลกแยกและแบ่งแยกตัวละครออกจากสังคมที่เป็นอยู่ แต่ในขณะเดียวกัน “เสียง” ก็สามารถทำให้ “คนโซ” ถูกยอมรับทางสังคมด้วยเช่นกัน วรรณกรรมทั้งสองเรื่องนี้สร้างตัวละครเอกที่ถูกแยกออกจากสังคม เพียงเพราะตัวละครหลักทั้งสองเรื่องมิได้มีมุมมองหรือการพูดจาที่เหมือนกับคนในสังคม ตัวละครหลักมีมุมมองและการใช้เกี่ยวกับ “แสงแดด” และ “เสียง” ที่แตกต่างออกไป ทำให้ “คนโซ” และ “เมอร์โซ” เป็นตัวละครที่ถูกแบ่งแยกและตีออกจากสังคมสมัยนั้น

จากการที่ได้ศึกษาวรรณกรรมทั้งสองเรื่อง “คนนอก” เป็นวรรณกรรมที่กามูต้องการใช้บุคลิกของเมอร์โซเพื่อสื่อให้เห็นถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับมนุษย์ทั่วไป “แสงแดด” คือสัญลักษณ์ของความหวังและการเริ่มต้นชีวิตใหม่ หากแต่ใน “คนนอก” กามูได้ใช้ “แสงแดด” เป็นตัวสังหารตัวละครหลักอย่าง “เมอร์โซ” เพื่อสื่อให้เห็นว่า “แสงแดด” มิใช่สิ่งที่ดีเสมอไป “แสงแดด” ก็สามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตได้เช่นเดียวกัน เมอร์โซจึงกลายเป็นภาพสะท้อนจากมุมมองของคนที่เห็นความไร้สาระของชีวิตและโลกที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ หากแต่ใน “คนโซ” ไม่มีการบรรยายของ “แสงแดด” ที่นำไปสู่ความตาย ในทางกลับกัน “เสียง” ใน “คนโซ” เป็นสิ่งที่นำตัวละครหลักเข้าหาและแบ่งแยกออกจากสังคม หลายครั้งที่ “คนโซ” มิได้รับอนุญาตในเข้าวงสนทนา เยขาเป็นเพียงตนโซที่น่าขยะแขยง ยากจน และหิวโซ หากแต่ “คนโซ” ก็ได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการใช้ “เสียง” เพื่อยกระดับตัวเองให้ดูดีขึ้นและถูกยอมรับจากสังคม ไม่ถูกนินทาหรือโดยถูกดูถูกจาตนในสังคม
ในวรรณกรรม “คนโซ” ของคนุท แฮมซุน ผู้ประพันธ์ได้บรรยายฉากสภาพแวดล้อมและถนนหนทางตึกรามบ้านช่องในสังคมสมัยนั้น “เสียงกึงกังของเกวียนและเสียงพูดคุยของผู้คนดังหึงๆอยู่ในอากาศ ผสมผสานกับเสียงคนเดินและเสียงหวดแส้ของคนขับเกวียนในอัตราอันเหมาะเจาะ เสียงสัญจรของผู้คน...” (คนโซ: ๕๕) ตัวละครหลักได้อยู่ท่ามกลางของผู้คนและฝูงชน หากแต่ผู้อ่านก็สามารถสัมผัสได้ถึงความห่างไกลจากสรรพสิ่งแวดล้อมตัวละคร ตัวละครถูกสร้างขึ้นให้เป็นคนแปลกหน้าในต่างแดน เสียงต่างๆที่ดังรอบๆตัวละครนั้น เป็นเพียงเสียงและสภาพแวดล้อมที่ตัวละครหลักไม่สามารถเข้าร่วม “คนโซ” ถูกตีพิมพ์ขึ้นในช่วงสมัยแห่งการประท้วงสังคมและการโฆษณาชวนเชื่อถึงการปฏิวัติ เป็นช่วงที่ผู้คนตกงานและเศรษฐกิจตกต่ำ ตัวละครเอกของเรื่องก็เป็น “คนโซ” ที่ไม่สามารถเข้าหาสังคมได้ “คนโซ” เป็นเพียงตัวละครที่อยู่ในวรรณกรรมที่ซึมซับเหตุการณ์ บทสนทนาต่างๆรอบตัวและถูกถ่ายทอดให้กับผู้อ่านได้รับรู้

“อีตาแก่ตาบอดที่น่าขยะแขยงและสุดแสนจะทุยทึ่มผู้นี้กล้าดีอย่างไรถึงได้กล่าวขานชื่ออันโดเด่นซึ่งข้าพเจ้าได้บรรจงสร้างสรรค์ขึ้น” (คนโซ หน้า ๙๘) “คนโซ” เป็นคนจรที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสื่อถึงสภาวะบ้านเมืองเมื่อตอนที่เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนตกงาน และผู้คนยากจนไม่มีเงินซื้อข้าวกิน แฮมซุนใช้ บุรุษที่หนึ่งในการเล่าเรื่อง (First person point of view) และ กระแสสำนึก (Stream of Consciousness) ผ่านทางตัวละครเอกในเรื่อง ผู้อ่านสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึก ความคิด ทัศนคติของตัวละครที่มีต่อความรอบข้าง ถึงแม้ว่า “คนโซ” ในเรื่องจะเป็นคนที่ยากจนและไม่มีงานทำ แต่ตัวละครก็ยังคงหยิ่งและมีศักดิ์ศรีในตัวสูง คนแก่ตาบอดก็เป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นให้อยู่ในฐานะและสภาพเดียวกันกับ “คนโซ” หากแต่คนโซเป็นตัวละครที่ไม่ยอมรับความจริง “คนโซ” รำคาญเสียงสนทนาที่ “ชายชรา” สนทนาด้วยและรู้สึกรำคาญทุกสิ่งทุกอย่างที่ชายชราคนนั้นทำทั้งๆที่ตนเองก็มิได้มีสภาพที่ดีกว่าชายชราเท่าไรนัก

ทั้งนี้ ในเรื่อง “คนโซ” แฮมซุนสร้างให้ตัวละครใช้ “เสียง” เป็นประโยชน์ในการทะนงตัวและยึดมั่นในศักดิ์ศรี นอกจาก “เสียง” ที่ “คนโซ” ได้รับรู้และรับฟังจากสิ่งรอบๆตัว “คนโซ” ยังใช้ “เสียง” ในการสร้างภาพให้ตนเองดูดีและไม่ถูกดูถูกโดยคนรอบข้าง “อ้าว นี่เอ็งยังไม่รู้อีกเหรอ? ข้าเป็นพนักงานบัญชีอยู่ทีร้านคริสตีไง” (คนโซ หน้า ๑๑๘) ผู้อ่านรู้ว่าทั้งหมดที่ตัวละครพูดออกไปนั้นล้วนเป็นสิ่งไม่จริงทั้งสิ้น หากแต่ “คนโซ” พูดออกไปเพราะเขาเป็นคนมีศักดิ์ศรีและไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาดูถูกหรือสงสารเขาแต่อย่างใด “คนโซ” เล่นละครต่อสังคมภายนอก ใช้ “เสียง” หรือ “การสนทา” ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง “คนโซ” มิได้ต้องการให้ผู้ใดนินทา ดูถูกว่ายากจน เขาไม่อยากถูกสังคมรอบข้างรังเกียจ “เฮ้ย คุณเสมียน คุณระวังหน่อยซีวะ ในม้วนผ้าห่มนั้นมีแจกันโบราณอยู่คู่หนึ่งนะโว้ย ห่อให้ดีเชียวนะ ข้าจะส่งไปสมีรนาโน่น” (คนโซ หน้า ๑๑๕) เช่นเดียวกัน ผู้อ่านรู้ว่าในผ้าห่มผืนนั้นมิได้มีแจกันที่ส่งคุณค่าแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพียงของแก่ๆที่ไม่มีค่าทางวัตถุแต่อย่างใด แต่ “คนโซ” มิอยากให้ผู้ใดดูถูกตนเอง มีแค่สิ่งเดียวที่จะทำให้ “คนโซ” ถูกคนในสังคมยอมรับและไม่ถูกดูถูกศักดิ์ศรี นั้นคือใช้ “เสียง” ในการบอกเล่าเหตุการณ์และฐานะอันจอมปลอมที่ตัวละครสร้างขึ้นมาเพื่อปกปิดปดด้อยและความจริง
เมอร์โซ ใน “คนนอก” เป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสื่อให้เห็นถึงคนชนชั้นกลางระดับล่าง ตัวละครทำงานเป็นพนักงานและเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่เพียงลำพัง เมอร์โซเป็นคนที่มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ เป็นคนธรรมดาง่ายๆและมีวิถีชีวิตไม่ได้แตกต่างไปจากชาวฝรั่งเศสอื่นๆ “...ชีวิตของฉันปัจจุบันที่นี่ก็ไม่เลวนัก ซึ่งฉันก็ออกจะพอใจอยู่…” (คนนอก หน้า ๖๘) หากแต่มีสิ่งเดียวที่แปลกออกไปคือมุมมองและความชอบเกี่ยวกับแสงแดด เมอร์โซไม่สนใจกับชีวิตมากนัก แม้แต่ตอนเปิดเรื่องที่มารดาของเขาอาศัยอยู่ในบ้านพักคนชราเสียชีวิต แต่เขาก็ไม่แสดงความเสียใจใดๆ ในขณะเข้าร่วมงานศพ กามูใช้วิธีการบรรยายแบบมุมมองจากตัวของเมอร์โซเองโดยเน้นเรื่องของ อารมณ์ต่อสิ่งรอบข้างที่ดำเนินไปอย่างซ้ำซากและมีแต่คำบรรยายของดวงอาทิตย์ “ดวงอาทิตย์เอย กลิ่นหนังเอย กลิ่นขึ้ม้าเอย กลิ่นน้ำมันที่ทารถตลอกจนกลิ่นกำยาน และความเหน็คเหนื่อยจากการอดนอนเมื่อคืน” ในงานศพแม่ของเมอร์โซ ตัวละครมิได้คิดหรือรู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น หากแต่ตัวละครรำคาญแสงแดดและกำลังเมื่อยล้าจากการที่อากาศร้อนและขาดการพักผ่อน ฉากที่สร้างขึ้นเป็นฉากที่มีความร้อนและความเหนื่อยหน่าย “ดวงอาทิตย์” คือ การเริ่มต้นวันใหม่และเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ ดวงอาทิตย์ให้พลังงานและส่องแสงให้สิ่งมีชีวิตบนโลก “ดวงอาทิตย์” ในฉากของงานศพแม่เป็นเหมือนการเริ่มต้นที่ดีของชีวิตหลังความตายของแม่เมอร์โซ เป็นสัญญาณที่ดีว่าหลังจากงานศพแม่ เมอร์โซจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เขาจะอาศัยอยู่คนเดียวและทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง แต่ตัวละครหลักเองกลับรำคาญ “แสงแดด” และอยากจะให้พิธีนั้นจบสิ้นเร็วๆ

“ท้องฟ้าจ้าด้วยแสงแดดกล้า ทำให้พื้นดินผ่าวร้อนทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉันไม่รู้ว่าทำไมจึงต้องคอยนาน กว่าเราจะเริ่มขบวนออกเดิน...” (คนนอก หน้า ๓๕) ฉากนี้เป็นฉากที่เกิดขึ้นตอนที่ตัวละครเอกอย่างเมอร์โซ เดินทางไปงานศพมารดาตนเอง หากสิ่งที่ตัวละครสนใจมิใช่ศพของมารดาหรือว่าการร้องไห้โศกเศร้า เสียใจ ตัวละครเอกคอยแต่สังเกตแสงอาทิตย์ ความร้อนระอุ และความรำคาญต่อธรรมชาติหรือสิ่งที่แวดล้อมตัวละคร ฉากนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างตัวละครเอกกับธรรมชาติ ตัวละครไม่ค่อยสนใจในพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่สนใจเกี่ยวกับตัวเอง เกี่ยวกับความร้อนของเปลวแดด ทั้งๆที่เป็นงานศพของแม่ตัวเอง เป็นครั้งสุดท้ายที่เมอร์โซจะได้เห็นมารดาตนเองก่อนที่จะทำพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่เขากำลังรำคาญแสงแดดและเริ่มบ่นในใจตนเอง “ทำไมจึงต้องคอยนานกว่าเราจะเริ่มขบวน” (คนนอก หน้า ๓๕) นี้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งต่อความเป็นจริง เมอร์โซไม่เพียงแค่รำคาญต่อแสงแดด แต่เมอร์โซอยากให้งานศพของแม่จบเร็วๆเพราะว่าความร้อนที่เขามาควบคุมตนเอง ตัวละครไม่ออกอากรโศกเศร้าเสียใจ แต่กลับเร่งรัดให้พิธีกรรมนั้นเสร็จสิ้นโดยเร็ว “ฉันอดแปลกใจไม่ได้ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นเร็วมาก....เหงื่อไหลโซมเต็มหน้าฉัน ฉันไม่ได้ใส่หมวก” คนนอก หน้า ๓๖) ข้อความอ้างอิงนี้ช่วยเสริมให้ผู้อ่านได้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่า เมอร์โซมิได้สนใจในงานศพแม่แต่อย่างใด หากแต่เพ่งความสนใจไปที่ดวงอาทิตย์และเหงื่อที่ไหลเต็มหน้าของตัวละคร หากใช่ว่ากามูจะทำให้คนอ่านเห็นว่า ความเพิกเฉยต่อความตายของแม่ตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หากนี่เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ถูกสมมติขึ้นเพื่อเป็นเงื่อนไขให้เห็นว่า มนุษย์อาจจะไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขตามที่สังคมคาดหวังเสมอไป ตามภาษาปรัชญาก็คือเป็นแนวคิดที่ต่อต้านนิยัตินิยม (Anti-Determinism)

“พื้นดินแถวนี้เป็นสีสนิมและเขียนคล้ำ มีบ้านอยู่สองสามหลังซึ่งมองเห็นชัดแต่ไกล ฉันจึงเข้าใจแม่ ตอนเย็นในภูมิประเทศเช่นนี้เปรียบเสมือนการหยุดพักรบที่เศร้าซึม วันนี้แสงอาทิตย์กล้าทำให้ภูมิภาพพร่าจนแลดูอ้างว้างและหดหู่” (คนนอก หน้า ๓๕) จากที่เกริ่นไว้เบื้องต้น “แสงแดด” คือสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ เป็นการเริ่มต้นของวันใหม่ๆที่นำมาซึ่งความมีชีวิต ในวรรณกรรม “คนนอก” กามูใช้เทคนิคในการสร้างเมอร์โซให้เป็นตัวละครเอกที่สามารถรับรู้เหตุการณ์ทุกอย่างและมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแก่ผู้อ่าน ตัวละครถ่ายทอดเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆตัวให้กับผู้อ่านผ่านทางความคิด ข้อมูล ความเข้าใจ และทัศนคติ ด้วยเหตุนี้เอง ผู้อ่านสามารถรับรู้ได้จากมุมมองของเมอร์โซที่ใช้ “บุรุษที่ 1 เป็นผู้เล่าเรื่อง” (First person point of view) ว่าตัวละครเอกนี้มีความเห็นหรือมุมมองที่แตกต่างออกไปจากคนโดยทั่วไป เมอร์โซเห็น “แสงแดด” เป็นสิ่งที่ทำให้หมู่บ้านดู “อ้างว้างและหดหู่” ซึ่งขัดแย้งต่อความเป็นจริงที่ว่า “แสงแดด” นำความสดใสและสีสัน ความมีชีวิตชีวา เมอร์โซไม่ชอบ “แสงแดด” และมักจะขัดแย้งและรำคาญต่อความร้อนหรือแสงต่างๆ

“ดวงอาทิตย์อยู่เกือบตั้งฉากกับพื้นทราย และเปลวแดดเหนือพื้นทะเลเหลือที่จะทนทานได้ ไม่มีใครเหลืออยู่ที่ชายหาด... เราหายใจลำบากเมื่อมีไอร้อยของหินกรุ่นจากพื้น... ฉันมิได้คิดอะไรเลยเพราะว่าครึ่งหลับครึ่งตื่นใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรงเหนือศรีษะเปล่าของฉัน” ฉากนี้ทำให้ผู้อ่านได้รับรู้อย่างแจ่มแจ้งว่า “แสงอาทิตย์” มีอำนาจและพลังมหาศาลที่มีผลต่อตัวละครเอกอย่างเมอร์โซ เนื่องจากตัวละครหลังเป็นชนชาวฝรั่งเศส ในสมัยก่อนคนที่อาศัยอยู่ในทวีปหนาวจะชอบที่จะเหม็นแสงอาทิตย์และนอนอาบแดด หากแต่ฉากที่ถูกสร้างขึ้นเป็นเพียงที่โล่งๆ และปราศจากผู้คน มีเพียง “หิน” “แสงอาทิตย์” “ความร้อน” “เปลวแดด” และ “พื้นทราย” ซึ่งล้วนเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรงและทนทาน ไม่มีสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งรอบตัวละครที่จะอ่อนข้อให้กับอีกอย่างนึง “หิน” กับ “พื้นทราย” เป็นสัญลักษณ์ของความจริงที่ยากต่อการเปลี่ยนแปลง เป็ฯสัญลักษณ์ของความ แข็งแรงและความเข้มแช็ง เมื่อสองสิ่งนี้มารวมกันกับ “แสงแดด” และ “เปลวแดด” ซึ่งให้ภาพของความร้อนและการแผดเผา สิ่งแแวดล้อมต่างๆเหล่านี้เป็นความขัดแย้งต่อความต้องการของตัวละคร
ฉากที่สำคัญอีกฉากนึงใน “คนนอก” คือแกที่ “แสงแดด” เป็นตัวที่ทำให้ชีวิตของตัวละครเอกพลิกพลัน “หาดทรายยังคงเป็นสีเพลิงอย่างเดิม... รู้สึกหน้าผากผิวทรายทับถมอยู่ที่ฉันผู้เดียว ภายใต้แสงแดด ความร้อนประดามีดูจะทับถมอยู่ที่ฉันผู้เดียว...มีไอร้อนมาปะทะที่หน้า...ฉันจะกัดฟันกำหมัดแน่น...เอาชนะต่อแสงแดดเปรี้ยงที่สาดส่องมายังฉัน...ทุกแสงคมปลาบสะท้อนขึ้นมาจากพื้นทราย...ฉันต้องขบกรามแน่น ฉันเดินไปนาน....” (คนนอก หน้า ๘๗) สิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นให้เหมาะกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายหน้า ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นก่อให้เกิดความรำคาญและความอดกลั้นต่อสู้กับความแสบร้อนของแสงแดด ฉากนี้ถูกใช่เป็นฉากที่กระตุนอารมณ์และความอดกลั้นของเมอร์โซให้ขึ้นถึงขีดสุด เหมือนเป็นการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า (Foreshadow) ว่าหลังจากที่ถึงจุดสูงสุดของความอดทน ทุกอย่างจะระเบิดและเหตุการณ์จะพลิกพลัน “ความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ประดังกันเหนือศีรษะ มีดที่แผดเผาฉาบเสียไหม้ขนตาของฉันไปสิ้น มิหน้ำซ้ำยังทะลวงลูกตาให้เจ็บปวดเกินทน” (ตนนอก หน้า ๘๘) การบรรยายแสงแดดของกามูเหมือนเป็นการทรมานและความทุรนทุรายที่แสงแดดส่งผลต่อเมอร์โซ ข้อความอ้าวอิงนี้ สามารถใช้เป็นหลักฐานชี้แนะได้ว่าเมอร์โซมิได้มีเจตนาฆ่าชายชาวอาหรับแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะความอดทน อดกลั้นของตัวละครต่อแสงแดดได้หมดลง ทั้ง “ความร้อน” “แผดเผา” “เผาไหม้” ประดัง” ทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาพร้อมๆกันทำให้ตัวละครถึงขีดสุดและพยายามที่จะหาทางออกหรือหนีออกจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ โดยการกระทำที่ผู้อ่านไม่เคยขาดคิดมาก่อนและเป็นเหตุการณ์ที่ผู้อ่านไม่ได้รับรู้ผ่านทางความคิดหรือทัศนคติของเมอร์โซแต่อย่างใด เป็นเพราะฉากที่ถูกสร้างขึ้นให้เมอร์โซพบกับจุดจบของตน เมื่อศาลพิพากษาให้ประหารชีวิตเมอร์โซเพียงเพราะว่าเขามิได้เศร้าโศก เสียใจในงานศพมารดา มิใช่เพราะว่าเมอร์โซได้ฆ่าชาวอาหรับแต่อย่างใด

Word Count: 1985






บรรณานุกรม

คนุท แฮมซุน. (๒๕๕๐). คนโซ. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์แมวคราว.

อัลแบร์ กามู. (๒๕๔๙). คนนอก. กรุงเทพ: สามัญชน.

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ความเรียงเชิงเปรียบเทียบ

ผลกระทบจากสื่อใน “ดอกเลือด” และ “ตามตาต้องใจ”
เขียนโดย สิรีธร คุ้มสถิร (เบร) เกรด 11

เรื่องสั้น “ดอกเลือด” ของ ศิลา โคมฉาย และ “ตามตาต้องใจ” ของ ปราบดา หยุ่นเป็นเรื่องสั้นที่สื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กสองคนในวัยที่แตกต่างกัน ทุกวันนี้โทรทัศน์ได้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กในวัยเรียนรู้ อย่างเช่นตัวอย่างของเด็กทั้งสองคน “น้องเอ็กซ์” และ “เด็กหญิงต้องใจ” เด็กทั้งสองคนนี้อยู่ในวัยที่อยากรู้อยากเห็นและเป็นวัยที่ชอบเลี่ยนแบบ ซึ่งในเรื่องสั้น “ดอกเลือด” ศิลา โคมฉายมุ่งเน้นให้ผู้อ่านได้คำนึงถึงผลกระทบในแง่ลบของการ์ตูนในโทรทัศน์และสื่อต่างๆ ในทางกลับกัน ปราบดา หยุ่นมุ่งเน้นให้ผู้อ่านคำนึงถึงผลดีจากสื่อต่างๆ ที่ได้รับถ้าดูในปริมาณที่เหมาะสม ใช้ความคิดและเหตุผลในการไตร่ตรองภาพและสิ่งที่สื่อออกมา ทั้งนี้ ผู้เขียนยังได้ชี้แนะเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตรในสองรูปแบบ การเลี้ยงดูด้วยความรักความเข้าใจ และการเลี้ยงดูด้วยการใช้ตำราและวัตถุนิยม

“ดอกเลือด” เรื่องสั้นเขียนโดย ศิลา โคมฉาย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กผู้ชายวัยหกขวบชื่อ “เอ็กซ์” ซึ่งส่อให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากสื่อการสอนและความบันเทงรุนแรงทางโทรทัศน์ รวมทั้งพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกด้วยสื่อการสอนที่มาจากโทรทัศน์ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยความเข้าใจเหมือนพ่อแม่คนอื่นๆ การดำเนินเรื่องสั้น “ดอกเลือด”ของ ศิลา โคมฉาย ส่อให้เห็นถึงความรุนแรงอย่างชัดเจนในครอบครัว ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่ได้แสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมาให้ลูกได้เห็น แต่ถึงอย่างไรก็ทำให้ “น้องเอ็กซ์” ซึมซับความรุนแรงจากครอบครัวและสื่อต่างๆจนส่อให้เห็นถึงความก้าวร้าวที่มีมากกว่าเด็กวัยหกขวบ ทั้งนี้ ในเรื่อง “ดอกเลือด” ได้มีการประชดประชันทางด้านโครงสร้างที่สื่อให้เห็นถึงความหมายสองแง่ในความคิดของผู้เป็นพ่อที่มีต่อลูกตัวเองและต่อโลกภายนอก

ศิลา โคมฉายเริ่มต้นเรื่องด้วยคำบรรยายของ “คลาสสิค” ซึ่งพ่อของน้องเอ็กซ์ได้บรรยายคำนี้ไว้ว่าเป็น “ภาพประทับใจ สะเทือนใจ สะใจ ชนิดกระทบความรุนแรง” ซึ่งมีความหมายที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง “คลาสสิค” ในความหมายของใครหลายๆคน เป็นคำที่ส่อให้เห็นถึงความเรียบง่ายและสมบูรณ์แบบ ที่ปราศจากความรุนแรง แต่พ่อน้องเอ็กซ์ได้บรรยายไว้ว่า “ฉากคลาสสิค น่าจะอยู่ตรงที่มีความความรุนแรงเหี้ยมโหด มีความบริสุทธิ์แทรกเข้ามาเกิดเงื่อนไขใหม่ ... เพราะหวังในสิ่งที่สูงกว่า หรือ...” พ่อน้องเอ็กซ์ได้นำความบริสุทธิ์และความขาวสะอาดไปผสมกับความโหดเหี้ยมและรุนแรง พ่อของน้องเอ็กซ์เป็นนักเขียนบทภาพยนตร์แอ็คชั่น ซึ่งมีฉากรุนแรงประกอบเสมอ “ ภาพแห่งการทำลายล้างสมจริง ละเอียดทุกแง่มุม ความตายผ่านทารุณกรรมสยดสยอง ประเภท “โหดกระฉูด” “เจาะกะโหลกปิดบัญชีเลือด” “กระสุนคว้านแค้น” “เลือดล้างเมือง” ซึ่งไม่น่าแปลกถ้าพ่อน้องเอ็กซ์จะเห็นลูกชายตัวเองเล่นผาดโผนและเล่นต่อสู้เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กผู้ชาย

“ดอกเลือด” เป็นเรื่องสั้นที่ส่อให้เห็นถึงการเลี้ยงลูกด้วยวิธีสมัยใหม่ที่ปราศจากการตีและการทำโทษที่รุนแรง โดยทำตามคำแนะนำของกุมารแพทย์ในทีวี “มีเวลาพร้อมหน้าพ่อ-แม่-ลูกไม่น้อย โอบกอดให้ความรักอบอุ่น ไม่ตะคอกเสียงดัง ตี ด่า ยามลูกทำผิดเพราะกลัวจะทำให้เด็กอารมณ์ร้าย กระด้าง” ด้วยความที่ว่าน้องเอ็กซ์เป็นบุตรคนแรกและไม่มีน้อง พ่อแม่ของน้องเอ็กซ์จึงจำเป็นที่จะต้องพึ่งสื่อวีดีโอในการสอนลูกให้รักและเอื้อเฟื้อ รู้จักสังเกตจดจำ แต่ในทางกลับกัน พ่อน้องเอ็กซ์ได้บรรยายฉากการสังหารเจ้าพ่อคู่อริ “การสังหารคู่อริใช้เด็กอายุ 14 ปีหน้าตาดูซื่อบริสุทธิ์เป็นมือสังหาร” การบรรยายฉากสังหารนี้ ทำให้วรรณกรรมเรื่องนี้แสดงถึงการประชดประชันด้านโครงสร้าง แทนที่ผู้ประพันธ์จะใช้การประชดประชันทางคำพูด กลับเสนอลักษณะเด่นด้านโครงสร้างซึ่งใช้ความหมายสองความหมายโดยตลอด เด็กอายุ 14 ยังไม่บรรลุนิติภาวะและยังไม่สามารถรับผิดชอบตัวเองได้ดีมากนัก กลับถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือสังหารเจ้าพ่อ ซึ่งดูขัดแย้งและผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่พ่อน้องเอ็กซ์หวังให้ลูกเป็น “แกควรจะเติบโตสมบรูณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ”

ศิลา โคมฉายมุ้งเน้นให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญของดนตรีประกอบหนังหรือการ์ตูนว่ามีผลกระทบอย่างไรบ้าง “เสียงเจ้าหนูร้องเพลงภาษาญี่ปุ่นกระท่อนกระแท่น เกิดจากการซึมซับเอาสิ่งพบเห็นจนเคยชิน” สิ่งเหล่านี้มักจะเป็นเองโดยธรรมชาติเมื่อเด็กได้ดูภาพที่ฉายซ้ำๆบนจอโทรทัศน์ จนจำเสียงเพลงและเนื้อร้องบางจังหวะ ซึ่งทำให้พ่อแม่ไม่ค่อยเป็นห่วงมากนัก แต่ในทางกลับกัน พ่อของน้องเอ็กซ์ได้พูดถึงดนตรีประกอบไว้ว่า “เขาควรประสานบอกถึงอารมณ์ที่ต้องการ เสริมให้ภาพและเรื่องเร้าใจยิ่งขึ้น... แต่ในช่วงผ่อนคลายเพลงประกอบต้องใสหวานแหวว...” เนื้อหาตรงนี้ชี้แนะให้เห็นถึงการประชดประชันในเนื้อเรื่องที่มีมากขึ้น “ใสหวานแหวว” สามารถนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่สวยงามบนโลกนี้ เช่น ความรัก ความบริสุทธิ์ และความสะอาดปราศจากสิ่งสกปรกใดๆ แต่พ่อน้องเอ็กซ์ ได้นำเอาความบริสุทธิ์เหล่านี้ให้หมองลงด้วยการนำไปผสมกับความดุเดือด เร้าใจ ของฉากละคร “คลาสสิค”

ในตอนจบของเรื่อง “ดอกเลือด” พ่อน้องเอ็กซ์ ได้บรรยายฉากสำคัญที่สุดในเรื่อง “คลาสสิค” “แทงครั้งเดียวอย่างถนัดถนี่ ดึงมีดออกแล้วเลือดพุ่งแบบหนังจีน... ดูตลกพิกล การเห็นเลือดจะต้องได้อารมณ์เจ็บปวดหรือสะใจกว่านั้น หรือจะให้เลือดหยดจากปลายมีด....” ในขณะที่พ่อน้องเอ็กซ์กำลังคิดโครงหลักของเรื่อง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่น้องเอ็กซ์ใช้ไม้บรรทัดฟุตเหล็กเป็นดาบเลเซอร์ในมือ ใช้ฟันพี่เลี้ยงสาลิกาจนเป็นแผลยาวเป็นแนว เลือดแดงเข้มกำลังซึมระหว่าง่ามนิ้ว หยดลงบนผ้าปูโต๊ะสีขาว “เลือดค่อยๆ ขยายตัวออกไปรอบด้าน มองคล้ายอาการผลิคลี่ออกดอกของกลีบดอกไม่แดง แต่ละหยดสร้างดอกดวงละลานตา ราวเป็นพุ่งไม้ดอกพร้อมใจกันเบ่งบาน” ศิลา โคมฉายได้เปรียบเทียบผ้าปูโต๊ะสีขาวให้เป็นเหมือนชีวิตคนเราที่มีแต่ความดี ความขาวสะอาด และความบริสุทธิ์ หากแต่ว่าเลือดเป็นสัญลักษณ์ของความเจ็บปวด ความรุนแรง และความโหดเหี้ยม เมื่อเลือดหยดลงบนผ้าปูโต๊ะ กลายเป็นความรุนแรง ความตาย และความเจ็บปวดที่แผ่ขยายใหญ่ขึ้นบนความสะอาดและบริสุทธิ์ของคนหนึ่งคน ซึ่งผสมผสานกันออกมาเป็น “ดอกไม้แสนคลาสสิค” หรือความสวยบนความรุนแรงที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

ในทางกลับกัน เด็กหญิงต้องใจ ในเรื่องสั้น “ตามตาต้องใจ” ของปราบดา หยุ่นมุ่งเน้นให้ผู้อ่านได้คำนึงถึงผลดีของการดูโทรทัศน์ที่สมเหตุสมผลของเด็กหญิงวัยเก้าขวบ เด็กหญิงต้องใจเป็นเด็กหญิงที่มีความคิดแตกต่างจากเด็กวัยเก้าขวบทั่วไป เด็กหญิงต้องใจเป็นคนมีเหตุผลในทุกๆเรื่องและชอบสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัว ปราบดา หยุ่นเปิดเรื่อง “ตามตาต้องใจ” ด้วยความคิดและประโยคที่ตื่นตาตื่นใจผู้อ่าน “เด็กหญิงต้องใจอยากหัวใจวายตาย เพราะเด็กหญิงต้องใจได้ยินมาว่า มันคือการตายที่ฉับพลันและเจ็บปวดน้อยที่สุด” ประโยคนี้ทำให้ผู้อ่านคิดว่าเด็กหญิงวัยเก้าขวบสามารถมีความคิดได้เหมือนผู้ใหญ่ สื่อแรกที่ปราบดา หยุ่นเสนอในเรื่องสั้นนี้คือ สื่อทางวิทยุ ปราบดา หยุ่นได้เขียนเกี่ยวกับความคิดของเด็กหญิงต้องใจที่เกินกว่าเด็กหญิงวัยเก้าขวบจะคิดได้ ไม่มีเด็กวัยเก้าขวบคนไหนที่คิดถึงเรื่องหัวใจวายตาย อาจเป็นเพราะว่ายังเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป หากแต่เด็กหญิงต้องใจได้ยินจากสื่อต่างๆ ทำให้เด็กหญิงคิดและเข้าใจวัฎจักรของชีวิตมากขึ้นกว่าเด็กทั่วไป

ปราบดา หยุ่นได้ยกตัวอย่างง่ายๆของการเข้าใจคณิตศาสตร์ในชั้นเรียน เพื่อไปโยงให้เห็นถึงความมีเหตุผลและความคิดที่แตกต่างออกไปของเด็กหญิงต้องใจ “หนึ่งบวกหนึ่งเป็นหนึ่ง 60 เปอร์เซ็นต์ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสามหรือมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์” เด็กหญิงต้องใจเข้าใจว่าเลขหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับหนึ่งหรือสาม เด็กหญิงต้องใจได้ยกตัวอย่างง่ายๆและใกล้ตัวเพื่อมาโต้แย้งในใจกับคุณครู ซึ่งเด็กหญิงให้สรุปว่า “การตอบตามความคิดของคนส่วนใหญ่คือปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีวิต และการเอาตัวรอด การตอบตามความคิดของตัวเองคือปัจจัยหนึ่งในการนอนตาหลับ” ความคิดนี้เป็นความคิดของผู้ใหญ่ ซึ่งเกินกว่าที่เด็กเก้าขวบสามารถคิดได้แต่เด็กหญิงต้องใจได้มีหลักการคิดในแบบของตัวเองและของผู้อื่น ตัวละครของปราบดา หยุ่น และตัวละครของศิลา โคมฉายนั่นมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะทางด้านความคิด

บ้านของเด็กหญิงต้องใจมีโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อต่างๆมากมายเหมือนเช่นบ้านของน้องเอ็กซ์ หากแต่ว่าเด็กหญิงต้องใจสามารถแยกแยะและใช้เวลาให้เหมาะสมในการดูทีวี “หลังจากที่บ้านของฉันถูกคุณขโมยขึ้นฉันก็ไม่มีทีวีดูไปหลายวัน เกือบหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ อาทิตย์นั้นฉันจึงเดินขึ้นกระไดไปนอนได้เองโดยไม่ต้องให้พ่ออุ้ม เพราะนอนเร็วกว่าปรกติ” เด็กหญิงต้องใจดูไม่ได้แสดงอาการกระวนกระวายหรือว่าร้องงอแงเพื่อที่จะได้ดูละครเหมือนเช่นทุกวัน หากแต่เด็กหญิงต้องใจยอมรับสภาพและขึ้นไปนอนเร็วขึ้น ทำให้ผู้อ่านเห็นว่าเด็กหญิงต้องใจดูมีเหตุผลและความคิดที่แตกต่างออกไป ทั้งนี้ ปราบดา หยุ่นยังได้สื่อให้เห็นว่าแม้กระทั้งผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ของเด็กหญิงต้องใจยังตกเป็นเหยื่อของสื่อโทรทัศน์และวิทยุ ทั้งสองคนหงุดหงิดที่ไม่ได้รับความบันเทงต่างๆจากสื่อ “พ่อกับแม่หงุดหงิดที่ไม่ได้ฟังเพลงจากวิทยุ ไม่ได้ดูละครในทีวี และไม่ได้เช่าวิดีโอมาดู” แต่เด็กหญิงต้องใจกลับยอมรับและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม โดยที่ไม่ยึดติดกับสื่อบันเทิงต่างๆ

“ดอกเลือด” และ “ตามตาต้องใจ” เป็นสองเรื่องที่แตกต่างกัน แต่สามารถนำมาเปรียบเทียบความแตกต่างในเนื้อหาได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งสองเรื่องนี้ชี้แนะให้ผู้อ่านได้คำนึงถึงผลในการเลี้ยงลูกที่เหมาะสม ร่วมทั้งสื่อบันเทงต่างๆ ที่ควรได้รับในแต่ละวัน “น้องเอ็กซ์” นับวันมีแต่เพิ่มความก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้น ซึ่งผิดไปจากสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังเอาไว้ หากแต่ว่า “เด็กหญิงต้องใจ” เป็นเด็กหญิงที่มีเหตุผลและความคิดที่แตกต่าง เด็กทั้งสองคนนี้ได้รับการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน “น้องเอ็กซ์” ถูกเลี้ยงโดยพ่อที่มีอาชีพนักเขียนบทแอ็คชั่นที่มีความรุนแรง และเลี้ยงลูกให้อยู่ในความรุนแรงซึ่งพ่อมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเด็กผู้ชาย หากแต่ “เด็กหญิงต้องใจ” เป็นเด็กที่มีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ เด็กหญิงคิดทุกอย่างแบบมีเหตุมีผล และคิดทุกอย่างแบบตรรกะ นอกจากจะชี้ให้เห็นถึงเรื่องความรุนแรงที่มาจากสื่อความบันเทิงแล้ว ผู้ประพันธ์ทั้งสองท่านยังได้สื่อให้ผู้อ่านได้เห็นว่าสภาพแวดล้อมและครอบครัวก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กในวัยเรียนรู้

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2551

ลักษณะของผู้แต่งวรรณกรรมที่มีอิทธิพลต่อสังคม

ผู้แต่งแต่ละคนจะมีแนวคิดที่ตั้งใจนำเสนอวรรณกรรมแต่ละเรื่องแตกต่างกัน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นตามแต่ผู้แต่งจะได้รับอิทธิพลจากสังคมในด้านใด โดยได้สรุปไว้ว่า
ผู้แต่งที่ต่อต้านสังคม ก็จะแต่งวรรณกรรมในลักษณะดังนี้
- ชี้ให้เห็นความไม่เสมอภาค
- การแย่งชิงผลประโยชน์ของคนในสังคม
- ความเสื่อมทรามของชีวิต

ผู้แต่งที่สนับสนุนสังคมก็จะแต่งวรรณกรรมในลักษณะดังนี้
- เสนอความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ในสังคมหรือเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นไปในสังคม เช่นความเป็นมิตร มีน้ำใจไมตรีของชาวชนบท


ปรัชญาแนวคิดในการพิจารณาวรรณกรรมได้เปลี่ยนแปลงไปตามอิทธิพลที่ได้รับ
- แนวคิดที่ปรากฏในวรรณกรรมมักจะได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อในสังคมในยุคสมัยของผู้แต่งวรรณกรรมนั้นเอง เช่นแนวคิดในวรรณกรรมไทยสมัยก่อนมักจะเป็นแนวคิดทางพุทธปรัชญา เพราะพุทธศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคมไทย วรรณกรรมไทยจึงสะท้อนแนวคิดทางศาสนาเช่นนี้ตลอดมา
- วรรณกรรมปัจจุบันของไทยได้รับอิทธิพลจากตะวันตก แนวคิดจึงมีเพิ่มจากเดิมที่เป็นทางพุทธศาสนา ได้แก่ ปรัชญาแบบโรแมนติก (Romanticism) ปรัชญาแบบสัจนิยม (Realism) ปรัชญาแบบธรรมชาตินิยม (Naturalism) ปรัชญาแบบอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) ปรัชญาเหล่านี้ได้แพร่หลายและมีอิทธิพลในงานวรรณกรรมตะวันตกอย่างกว้างขวาง รวมทั้งงานวรรณกรรมของโลก

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551

Grade 11 World literature 1: comparative essay

การเขียนเรียงความเชิงเปรียบเทียบ ขั้นตอนในการวางแผน
๑. กำหนดชื่อเรื่อง ซึ่งนักเรียนต้องอ่านหนังสือทั้งสามเรื่องก่อนให้ละเอียด กระจ่างว่าควรจะพิจารณาเปรียบเทียบองค์ประกอบด้านใดดี
๒. เมื่อได้มโนทัศน์ (concept) ในเรื่องที่จะศึกษาก็ตั้งชื่อเรื่องให้เน้นที่ความคิดที่เราจะเปรียบเทียบก่อน (Focus)
๓. เมื่อได้ชื่อเรื่องที่สุดแสนจะเก๋ไก๋แล้วไม่ไร้สาระ ต้องตามคอนเซ็ปต์ที่ตั้งไว้ ก็เริ่มเขียนคำนำโดยมีรูปแบบตามแบบการเขียนของแต่ละคน เช่น
แบบที่หนึ่ง อาจจะเขียนนิยามความหมายหัวข้อหรือทฤษฎีที่เราจะนำมาเปรียบเทียบ เช่น สัญลักษณ์คือ........ ตัวละครในวรรณกรรมหมายถึง.................ตามด้วยเรื่องทั้งสองเรื่องที่เราตั้งใจจะเปรียบเทียบตามทฤษฎีที่กล่าวมานั้นมาลักษณะเหมือนกันในด้านนี้ ได้แก่..........และมีลักษณะแตกต่างในการพิจารณาตามทฤษฎี ได้แก่........................... (แบบที่หนี่งนี้ถือว่าเชยมาก แต่ก็ได้รับความนิยมในระดับงานเขียนวิชาการที่ต้องการความเป็นแบบฉบับ และเรียบง่าย เป็นขั้นเป็นตอน)
แบบที่สอง อาจจะเขียนอธิบายลักษณะการเปรียบเทียบของนักเรียนเองว่าต้องการเปรียบเทียบ และพิจารณาเรื่องทั้งสองเรื่องด้านใดบ้าง เช่นทั้งสองเรื่องนี้มีโครงเรื่องเหมือนกัน หากแต่การนำเสนอกลวิธีด้านมุมมองต่างกัน หรือทั้งสองเรื่องตัวละครเอกมีลักษณะนิสัยตัวละครเหมือนกัน หากแต่มีบทบาทในการดำเนินเรื่องต่างกันในด้าน....... (ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับชื่อเรื่องหรือเรื่องที่นักเรียนต้องนำเสนอ)
แบบที่สาม อาจจะใช้กลวิธีต่างๆที่ทำให้เรื่องที่เราจะเขียนเปรียบเทียบน่าสนใจมากขึ้น เช่น เริ่มด้วยข้อความสำคัญ (Quote) ของทั้งสองเรื่องที่มีลักษณะคล้ายหรือเหมือนกัน โดยสอดคล้องกับชื่อเรื่องหรือคอนเซ็ปต์ที่ตั้งไว้ (วิธีนี้เลิศมากกกกก ขอคอนเฟิร์ม) หรือสนทนาของตัวละครทั้งสองเรื่องที่จะนำเข้าสู่ชื่อเรื่อง หรือคอนเซ็ปต์ของเรื่อง ได้เช่นเดียวกัน
ถ้าครูมีไอเดียหรือเทคนิคการเขียนคำนำให้น่าสนใจจะมานำเสนอให้เป็นระยะค่ะ
๔. เมื่อได้คำนำนั้นก็คือการตั้งสมมติฐานในการศึกษาเปรียบเทียบของทั้งสองเรื่องแล้ว ก็นำคำKey wordsในคำนำนั้นแหละค่ะ มาเขียนเนื้อเรื่อง (Body) โดยควรวางแผนว่าแต่ละย่อหน้าจะนำเสนอเนื่อหาในคำนำอย่างไร และจะนำข้อความสำคัญ (Quote) มาใช้อย่างไน นั่นก็คือนักเรียนต้องจดจำหรือโน้ตไว้ว่าข้อความใดสำคัญที่ควรจะพิจารณา อย่าเล่าเรื่องหรือแปลเรื่องจาก Quoteมิมีประโยชน์ เพราะไม่ใช่การวิเคราะห์ วิจารณ์
๕. สรุปก็ควรจะย้อนขึ้นไปดูว่าคำนำเราเขียนว่าอย่างไร เนื้อหาสาระเป็นอย่างไร จากนั้นก็สรุปผลการศึกษาวรรณกรรมทั้งสองเรื่องว่ามีปัจจัยใดที่ทำให้สองเรื่องมีความเหมือนกัน และแตกต่างกัน และควรนำเสนอข้อคิดเห็นหรือความรู้ที่เราได้ศึกษาวรรณกรรมนี้ทั้งสองเพิ่มเติมคุณค่าของการเปรียบเทียบเรื่องสองเรื่องแนวคิดใดเป็นสำคัญและควรศึกษา

เมื่อได้อ่านบทความนี้ ครูก็หวังว่างานเขียนเปรียบเทียบวรรณกรรมโลกที่จะส่งในวันที่ 4 มีนาคมนี้อย่างน้อยก็มีเนื้อหาสาระ และเรียบเรียงได้ถูกต้องเป็นงานเขียนที่สมบูรณ์ทั้งเอกภาพ สัมพันธภาพและมีสารัตภาพนะคะ

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551

การเรียนวิชาภาษาไทย IB ระดับ Higher

สวัสดี ผู้อ่านและนักเรียนของครูทุกคน
ครูกุ้งมีความยินดีที่จะนำเสนอและต้อนรับทุกท่านทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาภาษาไทย ในโรงเรียนนานาชาติ ระบบ IB การเรียนวิชาภาษาไทยในระดับ IB เป็นการเรียนภาษาแม่ (first language or mother tongue) เน้นเรื่องการอ่านวรรณคดีและวรรณกรรม (literature) ได้อย่างลึกซื้งและสามารถตีความ พร้อมทั้งนำเสนอความคิด และองค์ความรู้ที่ได้จากการอ่านวรรณกรรมและวรรณคดีได้ โดยมีการประมวลผลเช่นเดียวกับวิชาภาษาทั่วไป ที่เป็นภาษาแรกของนักเรียน


ภาษาไทยเป็นภาษาหนึ่งที่มีหลักสูตร IB (International Baccalaureate) ใช้ในการสอนระดับเกรด 11 และเกรด 12 โดยในระยะเวลา 2 ปีการศึกษา นักเรียนต้องเรียนวรรณกรรมและวรรณคดี ที่เป็นทั้งวรรณกรรมโลกและวรรณกรรม วรรณคดีของไทย


การเรียนการศึกษานักเรียนจะได้เรียนพื้นฐานทางวรรณกรรม การวิเคราะห์ และการวิจารณ์โดยใช้ทฤษฎีทางวรรณกรรมวิจารณ์ หลักปรัชญา และจิตวิทยารวมกัน ในการอธิบายเข้าถึงความนัยของวรรณกรรมต่างๆ

หลักสูตรนี้จะเสริมสร้างให้นักเรียนพัฒนาทักษะในด้านความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ และสามารถเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจผ่านทางการนำเสนอ และงานเขียนในรูปแบบงานวิจารณ์