วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ความเรียงเชิงเปรียบเทียบ

ผลกระทบจากสื่อใน “ดอกเลือด” และ “ตามตาต้องใจ”
เขียนโดย สิรีธร คุ้มสถิร (เบร) เกรด 11

เรื่องสั้น “ดอกเลือด” ของ ศิลา โคมฉาย และ “ตามตาต้องใจ” ของ ปราบดา หยุ่นเป็นเรื่องสั้นที่สื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กสองคนในวัยที่แตกต่างกัน ทุกวันนี้โทรทัศน์ได้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กในวัยเรียนรู้ อย่างเช่นตัวอย่างของเด็กทั้งสองคน “น้องเอ็กซ์” และ “เด็กหญิงต้องใจ” เด็กทั้งสองคนนี้อยู่ในวัยที่อยากรู้อยากเห็นและเป็นวัยที่ชอบเลี่ยนแบบ ซึ่งในเรื่องสั้น “ดอกเลือด” ศิลา โคมฉายมุ่งเน้นให้ผู้อ่านได้คำนึงถึงผลกระทบในแง่ลบของการ์ตูนในโทรทัศน์และสื่อต่างๆ ในทางกลับกัน ปราบดา หยุ่นมุ่งเน้นให้ผู้อ่านคำนึงถึงผลดีจากสื่อต่างๆ ที่ได้รับถ้าดูในปริมาณที่เหมาะสม ใช้ความคิดและเหตุผลในการไตร่ตรองภาพและสิ่งที่สื่อออกมา ทั้งนี้ ผู้เขียนยังได้ชี้แนะเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตรในสองรูปแบบ การเลี้ยงดูด้วยความรักความเข้าใจ และการเลี้ยงดูด้วยการใช้ตำราและวัตถุนิยม

“ดอกเลือด” เรื่องสั้นเขียนโดย ศิลา โคมฉาย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กผู้ชายวัยหกขวบชื่อ “เอ็กซ์” ซึ่งส่อให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากสื่อการสอนและความบันเทงรุนแรงทางโทรทัศน์ รวมทั้งพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกด้วยสื่อการสอนที่มาจากโทรทัศน์ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยความเข้าใจเหมือนพ่อแม่คนอื่นๆ การดำเนินเรื่องสั้น “ดอกเลือด”ของ ศิลา โคมฉาย ส่อให้เห็นถึงความรุนแรงอย่างชัดเจนในครอบครัว ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่ได้แสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมาให้ลูกได้เห็น แต่ถึงอย่างไรก็ทำให้ “น้องเอ็กซ์” ซึมซับความรุนแรงจากครอบครัวและสื่อต่างๆจนส่อให้เห็นถึงความก้าวร้าวที่มีมากกว่าเด็กวัยหกขวบ ทั้งนี้ ในเรื่อง “ดอกเลือด” ได้มีการประชดประชันทางด้านโครงสร้างที่สื่อให้เห็นถึงความหมายสองแง่ในความคิดของผู้เป็นพ่อที่มีต่อลูกตัวเองและต่อโลกภายนอก

ศิลา โคมฉายเริ่มต้นเรื่องด้วยคำบรรยายของ “คลาสสิค” ซึ่งพ่อของน้องเอ็กซ์ได้บรรยายคำนี้ไว้ว่าเป็น “ภาพประทับใจ สะเทือนใจ สะใจ ชนิดกระทบความรุนแรง” ซึ่งมีความหมายที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง “คลาสสิค” ในความหมายของใครหลายๆคน เป็นคำที่ส่อให้เห็นถึงความเรียบง่ายและสมบูรณ์แบบ ที่ปราศจากความรุนแรง แต่พ่อน้องเอ็กซ์ได้บรรยายไว้ว่า “ฉากคลาสสิค น่าจะอยู่ตรงที่มีความความรุนแรงเหี้ยมโหด มีความบริสุทธิ์แทรกเข้ามาเกิดเงื่อนไขใหม่ ... เพราะหวังในสิ่งที่สูงกว่า หรือ...” พ่อน้องเอ็กซ์ได้นำความบริสุทธิ์และความขาวสะอาดไปผสมกับความโหดเหี้ยมและรุนแรง พ่อของน้องเอ็กซ์เป็นนักเขียนบทภาพยนตร์แอ็คชั่น ซึ่งมีฉากรุนแรงประกอบเสมอ “ ภาพแห่งการทำลายล้างสมจริง ละเอียดทุกแง่มุม ความตายผ่านทารุณกรรมสยดสยอง ประเภท “โหดกระฉูด” “เจาะกะโหลกปิดบัญชีเลือด” “กระสุนคว้านแค้น” “เลือดล้างเมือง” ซึ่งไม่น่าแปลกถ้าพ่อน้องเอ็กซ์จะเห็นลูกชายตัวเองเล่นผาดโผนและเล่นต่อสู้เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กผู้ชาย

“ดอกเลือด” เป็นเรื่องสั้นที่ส่อให้เห็นถึงการเลี้ยงลูกด้วยวิธีสมัยใหม่ที่ปราศจากการตีและการทำโทษที่รุนแรง โดยทำตามคำแนะนำของกุมารแพทย์ในทีวี “มีเวลาพร้อมหน้าพ่อ-แม่-ลูกไม่น้อย โอบกอดให้ความรักอบอุ่น ไม่ตะคอกเสียงดัง ตี ด่า ยามลูกทำผิดเพราะกลัวจะทำให้เด็กอารมณ์ร้าย กระด้าง” ด้วยความที่ว่าน้องเอ็กซ์เป็นบุตรคนแรกและไม่มีน้อง พ่อแม่ของน้องเอ็กซ์จึงจำเป็นที่จะต้องพึ่งสื่อวีดีโอในการสอนลูกให้รักและเอื้อเฟื้อ รู้จักสังเกตจดจำ แต่ในทางกลับกัน พ่อน้องเอ็กซ์ได้บรรยายฉากการสังหารเจ้าพ่อคู่อริ “การสังหารคู่อริใช้เด็กอายุ 14 ปีหน้าตาดูซื่อบริสุทธิ์เป็นมือสังหาร” การบรรยายฉากสังหารนี้ ทำให้วรรณกรรมเรื่องนี้แสดงถึงการประชดประชันด้านโครงสร้าง แทนที่ผู้ประพันธ์จะใช้การประชดประชันทางคำพูด กลับเสนอลักษณะเด่นด้านโครงสร้างซึ่งใช้ความหมายสองความหมายโดยตลอด เด็กอายุ 14 ยังไม่บรรลุนิติภาวะและยังไม่สามารถรับผิดชอบตัวเองได้ดีมากนัก กลับถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือสังหารเจ้าพ่อ ซึ่งดูขัดแย้งและผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่พ่อน้องเอ็กซ์หวังให้ลูกเป็น “แกควรจะเติบโตสมบรูณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ”

ศิลา โคมฉายมุ้งเน้นให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญของดนตรีประกอบหนังหรือการ์ตูนว่ามีผลกระทบอย่างไรบ้าง “เสียงเจ้าหนูร้องเพลงภาษาญี่ปุ่นกระท่อนกระแท่น เกิดจากการซึมซับเอาสิ่งพบเห็นจนเคยชิน” สิ่งเหล่านี้มักจะเป็นเองโดยธรรมชาติเมื่อเด็กได้ดูภาพที่ฉายซ้ำๆบนจอโทรทัศน์ จนจำเสียงเพลงและเนื้อร้องบางจังหวะ ซึ่งทำให้พ่อแม่ไม่ค่อยเป็นห่วงมากนัก แต่ในทางกลับกัน พ่อของน้องเอ็กซ์ได้พูดถึงดนตรีประกอบไว้ว่า “เขาควรประสานบอกถึงอารมณ์ที่ต้องการ เสริมให้ภาพและเรื่องเร้าใจยิ่งขึ้น... แต่ในช่วงผ่อนคลายเพลงประกอบต้องใสหวานแหวว...” เนื้อหาตรงนี้ชี้แนะให้เห็นถึงการประชดประชันในเนื้อเรื่องที่มีมากขึ้น “ใสหวานแหวว” สามารถนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่สวยงามบนโลกนี้ เช่น ความรัก ความบริสุทธิ์ และความสะอาดปราศจากสิ่งสกปรกใดๆ แต่พ่อน้องเอ็กซ์ ได้นำเอาความบริสุทธิ์เหล่านี้ให้หมองลงด้วยการนำไปผสมกับความดุเดือด เร้าใจ ของฉากละคร “คลาสสิค”

ในตอนจบของเรื่อง “ดอกเลือด” พ่อน้องเอ็กซ์ ได้บรรยายฉากสำคัญที่สุดในเรื่อง “คลาสสิค” “แทงครั้งเดียวอย่างถนัดถนี่ ดึงมีดออกแล้วเลือดพุ่งแบบหนังจีน... ดูตลกพิกล การเห็นเลือดจะต้องได้อารมณ์เจ็บปวดหรือสะใจกว่านั้น หรือจะให้เลือดหยดจากปลายมีด....” ในขณะที่พ่อน้องเอ็กซ์กำลังคิดโครงหลักของเรื่อง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่น้องเอ็กซ์ใช้ไม้บรรทัดฟุตเหล็กเป็นดาบเลเซอร์ในมือ ใช้ฟันพี่เลี้ยงสาลิกาจนเป็นแผลยาวเป็นแนว เลือดแดงเข้มกำลังซึมระหว่าง่ามนิ้ว หยดลงบนผ้าปูโต๊ะสีขาว “เลือดค่อยๆ ขยายตัวออกไปรอบด้าน มองคล้ายอาการผลิคลี่ออกดอกของกลีบดอกไม่แดง แต่ละหยดสร้างดอกดวงละลานตา ราวเป็นพุ่งไม้ดอกพร้อมใจกันเบ่งบาน” ศิลา โคมฉายได้เปรียบเทียบผ้าปูโต๊ะสีขาวให้เป็นเหมือนชีวิตคนเราที่มีแต่ความดี ความขาวสะอาด และความบริสุทธิ์ หากแต่ว่าเลือดเป็นสัญลักษณ์ของความเจ็บปวด ความรุนแรง และความโหดเหี้ยม เมื่อเลือดหยดลงบนผ้าปูโต๊ะ กลายเป็นความรุนแรง ความตาย และความเจ็บปวดที่แผ่ขยายใหญ่ขึ้นบนความสะอาดและบริสุทธิ์ของคนหนึ่งคน ซึ่งผสมผสานกันออกมาเป็น “ดอกไม้แสนคลาสสิค” หรือความสวยบนความรุนแรงที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

ในทางกลับกัน เด็กหญิงต้องใจ ในเรื่องสั้น “ตามตาต้องใจ” ของปราบดา หยุ่นมุ่งเน้นให้ผู้อ่านได้คำนึงถึงผลดีของการดูโทรทัศน์ที่สมเหตุสมผลของเด็กหญิงวัยเก้าขวบ เด็กหญิงต้องใจเป็นเด็กหญิงที่มีความคิดแตกต่างจากเด็กวัยเก้าขวบทั่วไป เด็กหญิงต้องใจเป็นคนมีเหตุผลในทุกๆเรื่องและชอบสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัว ปราบดา หยุ่นเปิดเรื่อง “ตามตาต้องใจ” ด้วยความคิดและประโยคที่ตื่นตาตื่นใจผู้อ่าน “เด็กหญิงต้องใจอยากหัวใจวายตาย เพราะเด็กหญิงต้องใจได้ยินมาว่า มันคือการตายที่ฉับพลันและเจ็บปวดน้อยที่สุด” ประโยคนี้ทำให้ผู้อ่านคิดว่าเด็กหญิงวัยเก้าขวบสามารถมีความคิดได้เหมือนผู้ใหญ่ สื่อแรกที่ปราบดา หยุ่นเสนอในเรื่องสั้นนี้คือ สื่อทางวิทยุ ปราบดา หยุ่นได้เขียนเกี่ยวกับความคิดของเด็กหญิงต้องใจที่เกินกว่าเด็กหญิงวัยเก้าขวบจะคิดได้ ไม่มีเด็กวัยเก้าขวบคนไหนที่คิดถึงเรื่องหัวใจวายตาย อาจเป็นเพราะว่ายังเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป หากแต่เด็กหญิงต้องใจได้ยินจากสื่อต่างๆ ทำให้เด็กหญิงคิดและเข้าใจวัฎจักรของชีวิตมากขึ้นกว่าเด็กทั่วไป

ปราบดา หยุ่นได้ยกตัวอย่างง่ายๆของการเข้าใจคณิตศาสตร์ในชั้นเรียน เพื่อไปโยงให้เห็นถึงความมีเหตุผลและความคิดที่แตกต่างออกไปของเด็กหญิงต้องใจ “หนึ่งบวกหนึ่งเป็นหนึ่ง 60 เปอร์เซ็นต์ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสามหรือมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์” เด็กหญิงต้องใจเข้าใจว่าเลขหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับหนึ่งหรือสาม เด็กหญิงต้องใจได้ยกตัวอย่างง่ายๆและใกล้ตัวเพื่อมาโต้แย้งในใจกับคุณครู ซึ่งเด็กหญิงให้สรุปว่า “การตอบตามความคิดของคนส่วนใหญ่คือปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีวิต และการเอาตัวรอด การตอบตามความคิดของตัวเองคือปัจจัยหนึ่งในการนอนตาหลับ” ความคิดนี้เป็นความคิดของผู้ใหญ่ ซึ่งเกินกว่าที่เด็กเก้าขวบสามารถคิดได้แต่เด็กหญิงต้องใจได้มีหลักการคิดในแบบของตัวเองและของผู้อื่น ตัวละครของปราบดา หยุ่น และตัวละครของศิลา โคมฉายนั่นมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะทางด้านความคิด

บ้านของเด็กหญิงต้องใจมีโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อต่างๆมากมายเหมือนเช่นบ้านของน้องเอ็กซ์ หากแต่ว่าเด็กหญิงต้องใจสามารถแยกแยะและใช้เวลาให้เหมาะสมในการดูทีวี “หลังจากที่บ้านของฉันถูกคุณขโมยขึ้นฉันก็ไม่มีทีวีดูไปหลายวัน เกือบหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ อาทิตย์นั้นฉันจึงเดินขึ้นกระไดไปนอนได้เองโดยไม่ต้องให้พ่ออุ้ม เพราะนอนเร็วกว่าปรกติ” เด็กหญิงต้องใจดูไม่ได้แสดงอาการกระวนกระวายหรือว่าร้องงอแงเพื่อที่จะได้ดูละครเหมือนเช่นทุกวัน หากแต่เด็กหญิงต้องใจยอมรับสภาพและขึ้นไปนอนเร็วขึ้น ทำให้ผู้อ่านเห็นว่าเด็กหญิงต้องใจดูมีเหตุผลและความคิดที่แตกต่างออกไป ทั้งนี้ ปราบดา หยุ่นยังได้สื่อให้เห็นว่าแม้กระทั้งผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ของเด็กหญิงต้องใจยังตกเป็นเหยื่อของสื่อโทรทัศน์และวิทยุ ทั้งสองคนหงุดหงิดที่ไม่ได้รับความบันเทงต่างๆจากสื่อ “พ่อกับแม่หงุดหงิดที่ไม่ได้ฟังเพลงจากวิทยุ ไม่ได้ดูละครในทีวี และไม่ได้เช่าวิดีโอมาดู” แต่เด็กหญิงต้องใจกลับยอมรับและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม โดยที่ไม่ยึดติดกับสื่อบันเทิงต่างๆ

“ดอกเลือด” และ “ตามตาต้องใจ” เป็นสองเรื่องที่แตกต่างกัน แต่สามารถนำมาเปรียบเทียบความแตกต่างในเนื้อหาได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งสองเรื่องนี้ชี้แนะให้ผู้อ่านได้คำนึงถึงผลในการเลี้ยงลูกที่เหมาะสม ร่วมทั้งสื่อบันเทงต่างๆ ที่ควรได้รับในแต่ละวัน “น้องเอ็กซ์” นับวันมีแต่เพิ่มความก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้น ซึ่งผิดไปจากสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังเอาไว้ หากแต่ว่า “เด็กหญิงต้องใจ” เป็นเด็กหญิงที่มีเหตุผลและความคิดที่แตกต่าง เด็กทั้งสองคนนี้ได้รับการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน “น้องเอ็กซ์” ถูกเลี้ยงโดยพ่อที่มีอาชีพนักเขียนบทแอ็คชั่นที่มีความรุนแรง และเลี้ยงลูกให้อยู่ในความรุนแรงซึ่งพ่อมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเด็กผู้ชาย หากแต่ “เด็กหญิงต้องใจ” เป็นเด็กที่มีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ เด็กหญิงคิดทุกอย่างแบบมีเหตุมีผล และคิดทุกอย่างแบบตรรกะ นอกจากจะชี้ให้เห็นถึงเรื่องความรุนแรงที่มาจากสื่อความบันเทิงแล้ว ผู้ประพันธ์ทั้งสองท่านยังได้สื่อให้ผู้อ่านได้เห็นว่าสภาพแวดล้อมและครอบครัวก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กในวัยเรียนรู้

ไม่มีความคิดเห็น: