วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มุมมอง: เมอโซและสิทธารถะ

มุมมอง: เมอโซและ สิทธารถะ
โดยนางสาว อุมา ม้าศัล
นักเรียนเกรด ๑๒
โรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน

มุมมอง คือกลวิธีในการเล่าเรื่องโดยผ่านสายตา หรือทัศนะของใครคนนั้น การที่ผู้แต่งให้ใครเป็นผู้เล่าเรื่องย่อมมีความสำคัญและมีผลกระทบต่อการนำเสนอ และการสร้างเอกลักษณะของตัวละครในเรื่อง จากเรื่อง “คนนอก” โดย ฮัลแบร์ กามู นักเขียนชาวฝรั่งเศสและ “สิทธารถะ” โดย เฮอร์มานน์ เฮสเส นักเขียนชาวเยอรมันเป็นสองวรรณกรรมที่มีความสอดคล้องกันในด้านมุมมอง (point of view) ทางสังคมที่ส่งผลให้ตัวละครทั้งสองเป็นผู้ที่ถูกมอง และถูกตัดสินจากมาตรฐานและ กฎเกณฑ์ของสังคม แต่แตกต่างกันเพียงที่ “เมอโซ” จากคนนอกเป็นผู้ที่ถูกสังคมมองว่าเป็นผู้กระทำผิดด้วยการไม่เคารพกฎเกณฑ์ และมาตรฐานของสังคม แต่ “สิทธารถะ” จากสิทธารถะถูกตัดสินให้เป็นบุคคลที่น่าชื่นชมของสังคม
ทั้งตัวเมอโซและ สิทธารถะต่างเป็นผู้ที่ถูกมองและ ผู้ที่ถูกตัดสินจากมุมมองของสังคม แต่ทำไมผู้อ่านส่วนใหญ่ถึงเอาใจช่วยและ นึกสงสารเมอโซมากกว่าสิทธารถะในเวลาที่ประสบเรื่องลำบากในเรื่อง เพียงอยู่แต่คนเดียว นี่เป็นเพราะกลวิธี (Literary feature) ในการประพันธ์ของกามูที่เน้นใช้การเล่าเรื่องโดยบุรุษที่หนึ่ง (First-person points of view) เป็นวิธีการ “…จำกัดการเล่าเรื่องให้อยู่แต่ในสิ่งที่ผู้เล่าซึ่งเป็นบุรุษที่หนึ่งรู้ ประสบพบเห็น ลงความเห็น หรือทราบได้ด้วยการสนทนากับตัวละครอื่น” (อธิบายศัพท์วรรณคดี: หน้า ๒๖๖) กามูได้ใช้ตัวละครเอกเมอโซเป็นผู้เล่าเรื่องซึ่งเป็นบุรุษที่หนึ่งตั้งแต่เริ่มจนจบเรื่องเพื่อถ่ายทอดความรู้สึก อารมณ์และความคิดเห็นของผู้แต่งที่ได้กลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละครสู่ผู้อ่านโดยตรง เพื่อให้ให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงความรู้สึก และ อรรถรสในการอ่านที่ลึกซึ้ง และแท้จริงดังได้อยู่กับตัวละครตัวต่อตัว ตัวอย่างเช่นตอนเริ่มเรื่อง “วันนี้สินะที่แม่ตาย หรือว่าเมื่อวานนี้ฉันก็ไม่รู้แน่” (หน้า ๒๑) จากข้อมูลอ้างอิงนี้ เราสามารถสังเกตได้ว่ากามูได้กำหนดการใช้กลวิธีการเล่าเรื่องโดยบุรุษที่หนึ่งในรูปแบบบทพูดเดี่ยวในใจ (Interior monologue) โดยให้เมอโซเป็นผู้เล่าเหตุการณ์ตอนเริ่มเรื่องด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมาภายในใจของตนที่ไร้ความเอาใจใส่ ความอาลัยอาวรณ์ และความเสียใจในการตายของแม่ตน เพราะตนเองก็ยังไม่รู้เลยว่าตกลงแล้วแม่ของตนนั้นเสียชีวิตวันไหนกันแน่ ด้วยเหตุการณ์นำเสนอผู้อ่านด้วยความคิดภายในใจของตัวละครเช่นนี้ เราจึงสามารถเห็นถึงลักษณะนิสัย หรือ “สันดาน” ของตัวละครที่นำพาตนเองมาสู่การเป็นผู้ที่ถูกมอง และถูกตัดสินจากมาตรฐานและ กฎเกณฑ์ของสังคม
อย่างไรก็ตามในด้านของสิทธารถะนั้นแตกต่างไปจากเมอโซ เพราะได้ถูกตัดสินให้เป็นบุคคลที่น่าชื่นชมของสังคมเนื่องจากการเลือกใช้กลวิธีนำเสนอเรื่องของเฮสเสที่แตกต่างไปจากกามูโดยสิ้นเชิง เฮสเสนั้นเลือกที่จะใช้กลวิธีการเล่าเรื่องโดยบุรุษที่สาม (Third-person points of view) Third-person points of view คือวิธีการ “…เล่าเรื่องที่ผู้เล่าเล่าอย่างรู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่าง (Omniscient point of view) ผู้เล่าเรื่องประเภทนี้รู้อะไรทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวละครและ เหตุการณ์มีอิสระเสรีที่จะไปไหนมาไหนได้ตามความพอใจ ขณะที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวละครตัวหนึ่งก็สามารถเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวละครอีกตัวหนึ่งได้ด้วย” (อธิบายศัพท์วรรณคดี: หน้า ๒๖๗) เฮสเสได้ใช้ตนเองในฐานะเป็นผู้ประพันธ์ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดและ บันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่อง โดยมี สิทธารถะและ ตัวละครอื่นเช่น “มารดา” และ “บิดา” มาเป็นส่วนประกอบในเรื่องโดยไม่อธิบายความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละตัวเลย เพราะฉะนั้นผู้อ่านจึงไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึก และ อรรถรสในการอ่านที่ลึกซึ้งมากนัก ยกตัวอย่างเช่นในตอนเริ่มเรื่อง
“อาบน้ำชำระกายในพิธีสังเวยศักดิ์สิทธิ์ นัยน์ตาเขาเป็นประกายแจ่มใสขณะวิ่งเล่นอยู่กลางสวนมะม่วงหรือยามฟังมารดาเห่กล่อมหรือเมื่อสงบฟังคำสอนของบิดา กระทั่งเมื่ออยู่ในหมู่ปราชญ์...” (หน้า ๓)
จากข้อมูลอ้างอิงนี้ เราสามารถเห็นได้ว่าเฮสเสได้ใช้กลวิธีการเล่าเรื่องโดยบุรุษที่สามที่เป็นไปในรูปแบบการใช้ ภาพลวง (Illusion) ที่เหมือนกับชีวประวัติของพระพุทธเจ้าที่เริ่มแรกดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าชายในหมวดหมู่คนชั้นสูงอย่าง พราหมณ์กษัตริย์ที่มีความเคร่งครัดในเรื่องการให้ความเคารพแก่ศาสนา และการปฎิบัติที่เป็นไปตามภาวะหน้าที่ของสังคม เฮสเสได้ใช้กลวิธีนี้แทนที่การใช้กลวิธีการเล่าเรื่องโดยบุรุษที่หนึ่งในรูปแบบบทพูดเดี่ยวในใจเหมือนกับกามู หากแต่เฮอร์มานน์ เฮสเสเพียงแค่บรรยาถึงสถานที่ที่ตั้งของเรื่องซึ่งมีสิทธารถะเป็นตัวประกอบ เฮสเสไม่ได้สร้างให้ตัวละครสิทธารถะ
สนทนาตอบโต้กับตัวเองและผู้อ่าน จึงทำให้ผู้อ่านมีมุมมองที่ไม่หักโหมที่เข้าข้าง และลุ้นละทึกไปกับตัวละคร เพราะผู้ประพันธ์ต้องการให้รูปแบบการเขียนออกมาเป็นลักษณะการเล่าเรื่องและบรรยายเหตุการณ์ณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละคร และด้วยเหตุผลการนำเสนอเนื้อเรื่องที่แตกต่างกันนี้นี้เองที่นำพามาซึ่งการสร้างเอกลักษณ์ของตัวละคร (Characterization) ที่แตกต่างในสองวรรณกรรม
เมอโซเป็นตัวละครที่กามูสร้าง และกำหนดให้เป็นตัวละครมิติเดียว (Static Character) เพื่อนำเสนอให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงลักษณะนิสัย หรือ “สันดาน” ของตัวละครเพียงด้านเดียว ที่คงเอกลักษณะในด้านความคิดและ มุมมองของตนตั้งแต่ต้น จนจบเรื่อง เช่นในตอนที่เมอโซได้ถูกตัดสินให้เป็นผู้กระทำผิดโดยอัยการ
“ท่านคณะลูกขุนในวันรุ่งขึ้นหลังจากวันฝังศพของมารดาเขา ชายผู้นี้ได้ไปว้ายน้ำเริ่มมีความสัมพันธ์อันไม่สม่ำเสมอกับหญิงคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีแก่ใจไปหาความสนุกสนานโดยการดูหนังตลก ข้าพเจ้ามีอะไรมากกว่านั้นจะบอกท่านแล้ว” (หน้า ๑๓๑)
จากข้อมูลอ้างอิงที่ศึกษา การตัดสินของอัยการ คือตัวแทนของกฎหมาย และมาตรฐานของสังคมที่ทุกคนต้องทำตามเพื่อที่จะสามารถรักษาความถูกต้อง และความอยู่รอดของตนภายในสังคม แต่ในกรณีของเมอโซ ตัวละครได้สูญเสียความถูกต้อง และชีวิตของตนในที่สุดเพราะได้กระทำสิ่งที่ผิดแปลกแตกต่างไปจากผู้คนอื่นๆในสังคมโดย ไม่ได้รู้สึกเลียใจ สูบบุรี่ ดื่มกาแฟดำใส่นมซึ่งตามประเพณีที่ว่า“ฝรั่งจะดื่มกาแฟดำตอนงานศพเท่านั้น ห้ามใส่นม” ในวันงานศพของมารดาของตนในช่วงต้นเรื่อง
“สันดาน” ดิบของตัวตัวละครที่พรรณนาว่า “ฉันเป็นคนมีสันดานแบบที่ความต้องการทางร่างกายจะรบกวนความรู้สึกอยู่บ่อยๆ” (หน้า ๗๖) เมอร์โซเป็นคนยึดถือการทำตามใจ และความต้องการทางร่างกายของตนเป็นหลัก เมื่อเขารู้สึกอยากจะไปว่ายน้ำ และหาความสนุก ความสุขให้ตัวเอง เขาก็จะทำอย่างที่เขารู้สึกเพราะนั้นคือสิ่งที่เขาปรารถนาในเวลาช่วงนั้น อัยการรู้ได้อย่างไรว่าเมอโซไม่รู้สึกเสียใจในการตายของมารดาของเขา เขาอาจจะรู้สึกเสียใจก็ได้เพราะ“ฉันรักแม่มาก” (หน้า ๙๕) และ “สิ่งที่ฉันพอจะพูดได้เต็มปากก็คือ ปรารถนาให้แม่ยังมีชีวิตอยู่ (หน้า๙๖) เมอโซรักแม่มากและ หวังที่จะให้แม่ของตนมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ด้วยเพราะเขา มีความเข้าใจโลกของความเป็นจริงอย่างลึกซึ้ง “…ความรักนั้นไม่ได้มีความหมายอะไร” (หน้า ๖๑) จึงทำให้เมอโซไม่คิดและ รู้สึกที่จะเสียใจเพราะสำหรับเมอโซแล้ว ความรักไม่ได้หมายถึงการครอบครองยึดถือสิ่งที่ตนรักไว้กับตัวได้ตลอดเวลา เมอโซเลือกที่จะไม่ยึดติดกับความรักและ นำมาเป็นข้อจำกัดให้กับตนเอง เพราะเขาเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่จะต้องตายและ นี้ก็คือ “มนุษย์เราที่มีสุขภาพจิตสมบูรณ์…” (หน้า ๙๕) ในแบบของเมอโซ
ถึงกระนั้นในด้านของสิทธาระถะ เฮสเสได้สร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างให้แก่ตัวละครของตนเป็นตัวละครหลายมิติ (Dynamic Character) เพื่อเสนอให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงเอกลักษณะของตัวละครในหลายๆด้านที่มี พัฒนาการทางด้านความคิดและ มุมมองของตนตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มจนจบเรื่อง ตัวอย่างเช่นตอนเริ่มเรื่อง “ส่วนมารดานั้นเล่าเธอภูมิใจบุตรชายล้นอก ทุกครั้งที่ได้เห็นอิริยาบถลูกยามเดิน ลุก นั่ง สิทธารถะแข็งแรง ดวงหน้างามหมดจด แขนขาคล่องแคล่อ กลมกลึงยามทำความเคารพมาดา เขากระทำได้สง่างามสมบรูณ์แบบ” (หน้า ๔) จากข้อมูลอ้างอิงในตอนเริ่มเรื่องนี้ สามารถสังเกตได้ว่าสิทธารถะเป็นที่น่าชื้นชมยกย่องในสังคม เพราะเขานั้นมีเอกลักษณะนิสัยที่ให้ความ “เคารพ” พ่อแม่ของตนซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด โดยฟังคำสอนและ รวมไปถึงศาสนาการอาบน้ำชำระกายในพิธีสังเวยศักดิ์สิทธิ์ที่คนอื่นเขาทำกันในตอนเริ่มเรื่องสิทธารถะเคารพและ ปฏิบัติตามมาตรฐานของสังคม และประเพณีศาสนาที่บุรุษทางสังคมควรจะเป็น จึงไม่น่าแปลกที่ “มารดา” และ ธิดาพราหมณ์ทั้งหลายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคมต่างชื่นชมในการทำที่ถูกต้องตามสังคมของสิทธารถะจน “ความรักเกาะกุมใจยามได้เห็นสิทธาระถะเดินไปบนท้องถนในเมือง…” (หน้า ๔)
ด้วยเหตุผล “เคารพ” และการกระทำของสิทธารถะจึงทำให้มุมมองทางสังคมในการเป็นผู้ที่ถูกมองของเขานั้นแตกต่างไปจากเมอโซ สิทธารถะเคารพมารดาผู้เป็นคนให้กำเนิดและทำตามขั้นตอนการประกอบพิธีทางด้านศสานาในการชำระล้างบาป เพราะถูกปลูกผังมาตั้งแต่เด็ก ในขณะที่เมอโซไม่เคารพมารดาของตนที่ตายแล้ว ด้วยการไม่เสียใจ สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟดำใส่นม เพราะมีแนวทางความคิดเกี่ยวกับชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น และเป็นตัวของตัวเองไม่เหมือนกับสิทธารถะในตอนเริ่มเรื่อง ที่อายุยังน้อย และถูกอบรบให้อยู่ในกรอบเคร่งเรื่องศาสนา ด้วยความสอดคล้องในด้านการเป็นตัวละครที่ถูกมองและ ตัดสินโดยมุมมองของสังคม และผู้คน จึงนำพามาซึ่งความแตกต่างของมุมมองที่เมอโซเป็น “คนนอก” และสิทธาระถะเป็นคนในท่ามกลางสังคม
ด้วยกลวิธีในการเล่าเรื่องที่แตกต่างของทั้งสองผู้ประพันธ์จึงทำให้เกิดความแตกแต่งในความคิดของผู้อ่านเมื่อได้อ่านทั้งเรื่อง “คนนอก” และ “สิทธารถะ” ผู้อ่านจะรับรู้และ เข้าใจความคิดและ ความรู้สึกของตัวละครสิทธารถะได้เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะเฮอร์มาน์ เฮสเสไม่ได้สร้างให้ตัวละครสิทธารถะให้สนทนาตอบโต้กับตัวเองและ ผู้อ่าน (Monologue) ในขณะที่กามูโน้มน้าวเปลี่ยนมุมมองความคิดของผู้อ่านให้ยอมรับตัวละคร และลุ้นละทึกไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละคร
จากผลการศึกษาทั้งหมด เมอโซและ สิทธารถะ เป็นตัวละครสองวรรณโลกที่ล้วนตกอยู่ในฐานะผู้ถูกมองและ ถูกตัดสินจากมุมมองของสังคม แต่แตกต่างกันเพียงที่ผลลับการตัดสินของสังคมที่ถูกกำหนดให้ขึ้นอยู่กับกลวิธีการประพันธ์ของสองผู้ประพันธ์ฮัลแบร์ กามูและเฮอร์มานน์ เฮสเส ที่คัดสรรวิธีการใช้กลวิธีที่แตกต่างกัน


Word count: 1600







หนังสืออ้างอิง

อัลแบร์ กามู. (๒๕๔๙). คนนอก. กรุงเทพ: สามัญชน.

เฮอร์มานน์ เฮสเส. (๒๕๔๙). สิทธารถะ. กรุงเทพ: สร้างสรรค์บุ๊คส์.

ชัยวัฒน์. รายงานเรื่อง: “โชติศักดิ์...คุณไม่ยิ่งใหญ่เท่าเมอโซ.”. (ออนไลน์).

http://chaiwathow.multiply.com/journal/item/25/25

ไม่มีความคิดเห็น: