การถ่ายทอดความเป็นสัจนิยมใน “คนนอก”และ “สิทธารถะ”
โดยกิรณา กิตติคูณธนา (กวาง)
นักเรียนเกรด ๑๒
โรงเรียนนานาาติคอนคอร์เดียน
โศกนาฏกรรมทางใจของสองตัวละครเอก”เมอโซ” จาก คนนอก โดย อัลแบร์ กามูและ”สิทธารถะ” จากสิทธารถะ โดย เฮอร์มานน์ เฮสเส ได้ถูกถ่ายทอดผ่านการวางโครงเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง ฉาก ตัวละคร และสัญลักษณ์ที่สมจริงและขาดการปรุงแต่งเพื่อความสละสลวยใดๆ ทั้งนี้เพื่อถ่ายทอดอารมณ์และจิตวิญญาณแห่งความเป็นสัจนิยม* (realism) [1] วรรณกรรมทั้งสองเรื่องนั้นเป็นดั่งภาพเงาสะท้อนความจริง ซึ่งส่งผลให้ผู่อ่านสามารถสัมผัสถึงความคิด จิตใจ และความรู้สึกของตัวละคร และซึมซับความจริงที่มองเห็นได้อย่างที่ผู้แต่งได้ราวกับได้สัมผัสเรื่องราวนั้นๆด้วยตนเอง
ทั้งกามูและเฮสเสต่างวางโครงเรื่องที่สมจริงเพื่อถ่ายทอดความขัดแย้งระหว่างมนุษย์และสังคมโดยการสร้างปมปัญหาให้ตัวละครเอกมีคุณสมบัติของการเป็นแอ็ปเสิร์ดฮีโร่ (Absurd hero) เรื่องราวของทั้งเมอโซและสิทธารถะจึงเต็มไปด้วยปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงและไม่ได้แปลกหรือน่าสนใจแต่อย่างใด โดยที่ผู้แต่งสร้างจุดเชื่อมต่อระหว่างผู้อ่านและตัวละครไว้ด้วยความตาย ทั้งการตายของแม่เมอโซ งานศพที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของความตึงเครียด ความกดดันจากการ ทนฟัง “เสียงดูดเหงือกของตาแก่บางคน” ทั้งหมดล้วนสื่อให้เห็นถึงความจริงของความไม่แน่นอนในชีวิต เป็นความแอ็ปเสิร์ดของเรื่องราวที่สมควรจะตึงเครียดแต่กลับถูกบรรยายด้วยถ้อยคำชวนหัวเราะอย่าง “ดูดเหงือก” ซึ่งสื่อให้เห็นถึงความสุขเล็กน้อยที่สามารถหาได้จากความธรรมดาให้ชีวิตหากเพียงเราจะยอมรับความจริงตามอย่างที่เป็น
ในส่วนของสิทธารถะ “ชายหนุ่มผู้เกิดในตระกูลพราหมน์ เพรียบพร้อมไปด้วยรูปทรัพย์...” แต่ไม่มีความสุขทางใจ การค้นไม่พบความสุขในสิ่งที่ผู้คนทั่วไปมองเหมือนความสมบูรณ์แบบนั้นก็เป็นเรื่องทั่วไปไม่ต่างกับชีวิตผู้อ่านเท่าไหร่นักซึ่งจะสามารถทำให้ผู้อ่านเข้าถึงตัวละครได้เพราะในชีวิตผู้อ่านเองก็มิอาจเข้าถึงความสุขทางใจได้เช่นกัน และเมื่อตัวละครเอกสามารถผ่านพ้นช่วงแห่งอัตถภาวนิยม (existential crisis) จึงทำให้ผู้อ่านเกิดความพึงพอใจและหาความหมายกับวรรณกรรมได้
ในด้านการสร้างตัวละคร ผู้แต่งนำเสนอจุดเชื่อมต่อระหว่างวรรณกรรมและผู้อ่านโดยการสร้างตัวละครที่มีความธรรมดา เมอโซเป็นชายหนุ่มช่างคิด มีเหตุผล มนุษย์เงินเดือนที่ดำเนินชีวิตแบบเครื่องจักรกลบนความเป็นสัจนิยม ผู้ที่ไม่สามารถโกหกหรือเสริมแต่งความจริงได้ เห็นได้จากการบรรยายบรรยากาศในงานศพแม่ เมอโซได้ “ดื่มกาแฟใส่นมรสดี” หลังจากทนอยู่กับการ “เจ็บตรงใต้บั้นเอว” และการนั่งเฝ้าศพ ทั้งๆที่การดื่มกาแฟนมเป็นการผิดประเพณีในสถานการณ์ที่ควรแก่การแสดงความเสียใจ แต่ในความจริงใจต่อความรู้สึกของตนและสัญชาตญาณการต่อต้านอำนาจที่เหนือกว่า เมอโซก็กระทำไปเช่นนั้น
กลวิธีการนำเสนอตัวละครเมอโซของผู้แต่งตามความเป็นจริงและตามหลักของเหตุผลโดยปราศจากการเสริมแต่งให้ดูดีตลอดการดำเนินเรื่อง “เมื่อสมัยยังเป็นนักศึกษา ฉันมีความทะเยอทะยานชนิดนี้มาก แต่เมื่อฉันต้องละทิ้งการศึกษาเสียกลางคัน ฉันจึงเข้าใจว่าทั้งหมดนี้หามีความสำคัญอย่างแท้จริงไม่” (คนนอก: หน้า69) แสดงให้เห็นถึงการที่ตัวละครมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนจริง หมดหวังกับชีวิตได้ สื่อให้เมอโซเป็นตัวละครเอกที่เป็นจุดหักเหในด้านลบและมีจุดจบอันน่าอนาถ (Tragic Hero) หรือตัวละครเอกที่ตัดสินใจผิดในช่วงจุด
ไคลแม็กซ์จนนำไปสู่จุดหักเหไปในทางลบ การไม่เสียใจในงานศพแม่หรือกระทำการภายใต้อำนาจของของธรรมชาติที่เหนือการควบคุมเพียงแลกมาซึ่งความสุขทางกาย จึงทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าการกระทำอันเป็นขบฎต่อสังคมนั้น คือการกระทำตามความจริงของตน โดยมิได้พยายามปรับแต่งให้ดูดีในสายตาสังคม
ในทางกลับกัน จากเรื่อง สิทธารถะ ชายหนุ่มผู้เกิดในตระกูลพราหมณ์ ผู้เพรียบพร้อมไปด้วยรูปทรัพย์ ที่ดำเนินชีวิตการเป็นพราหมณ์ที่สมบูรณ์แบบทุกประการ “เฉลียวฉลาดและกระหายความรู้ ได้เห็นบุตรเติบโตเป็นปราชญ์ฉลาดล้ำ เป็นนักบวช เป็นเจ้าชายในหมู่พราหมณ์ด้วยกัน” (สิทธารถะ: หน้า 4) เมื่อสิทธารถะผู้ไม่พอใจกับความสมบูรณ์อันเกินจริงและ “ความรักที่บิดามารดาและโควินทะมีต่อเขานั้นไม่อาจทำให้เขามีความสุขได้ตลอดไป” (สิะธาถะ: หน้า 5) เขาเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความสุข ความเข้าใจชีวิตที่แท้จริง และขีดเส้นกั้นตนเองออกจากสังคมสวมหน้ากาก เพื่อการแสวงหาความจริงจึงไม่อาจเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมแต่งความสุขอันเกินความจริงได้อีก
กลวิธีการนำเสนอตัวละครเอก สิทธารถะนั้น มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเมอโซ ในช่วงแรกของเรื่อง เฮอร์มานน์ เฮสเส ได้จงใจเลือกใช้ศัพท์หรูหราในการพรรณาถึงสิทธารถะอย่างเกินจริง (Hyperbole) เช่น “ดวงตาดุจเนตรราชา” และ “เจ้าชายในหมู่พรามณ์” (สิทธารถะ: หน้า 4) เพื่อให้เกิดภาพแห่งความสมบูรณ์แบบ ต่อมาครั้นสิทธารถะได้เข้าถึงแก่นของความจริงและชีวิตมากขึ้นนั้น การนำเสนอตัวละครของเฮสเสก็ได้เปลี่ยนไปในแนวสัจนิยมตามลำดับความเข้าใจชีวิตของสิทธารถะ การบรรยายพราหมณ์หนุ่มผู้ครอบครอง “หน้าผากกว้าง ดวงตาดุจเนตรพระราชา และเรื่อนร่างสูงสง่า” (สิะธาถะ: หน้า 4) กลับกลายเป็นชายชราคนแจวเรือผู้เข้าใจชีวิตและความจริงอย่างถ่องแท้เมื่อสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป การนำเสนอความเปลี่ยนแปลงของตัวละครเช่นนี้ ได้สื่อให้ผู้อ่านเห็นถึงความเป็นเป็นขบฎต่อกฎเกณท์ความเชื่อของสังคม และทำให้ตัวละครดูน่าสงสารเมื่อต้องผ่านการต่อสู้กับโลก กิเลส “ความเหน็ดหน่ายค่อยๆมาเยือนสิทธารถะ...และหนักมากขึ้นทุกปี” (สิะธาถะ: หน้า 74) และ “เขาถูกตรึงอยู่ในวัฎสงสารสิทธารถะหน่ายชีวิตเต็มกลืน...มีแต่ความโศกเศร้า...สิทธารถะอยากหลับ อยากจะพัก อยากจะตาย” (สิะธาถะ: หน้า 83) และความสับสนในความจริงมาตลอดการดำเนินเรื่อง
ด้านโครงสร้างของนวนิยาย ในเรื่องคนนอกนั้น กามูได้แสดงสัจนิยมผ่านการใช้โวหาร (Literary Feature) หลักๆเช่นฉาก รูปแบบของประโยคที่สั้น ได้ใจความ เช่น “ฉันเข้าไปในห้องซึ่งสว่างไสว ฉาบด้วยปูนขาว ปิดทับอีกทีด้วยกระจก...” (คนนอก: หน้า 25) และ “พื้นเตียงและที่นอนอัดด้วยฟาง...” (คนนอก: หน้า 114) และศัพท์ที่ไม่หรูหรา เพื่อเน้นย้ำถึงสภาพที่ปรากฎตามความเป็นจริง “ปูนขาว”และ“พื้นเตียงและที่นอนอัดด้วยฟาง” แสดงให้เห็นถึงการบรรยายความจริงที่ไม่มีอะไรเลย แต่ยังสามารถเห็นภาพนั้นๆได้ นอกจากนั้น เนื่องด้วย คนนอก มีกลวิธีการเล่าเรื่องในมุมมองของบุคคลที่ ๑ (First person point of view) หรือการที่เมอโซเป็นผู้เล่าเรื่องเสียเอง การบรรยายฉากของผู้แต่งจึงบรรยายตามความจริงเพื่อยืนยันความบริสุทธ์ของเมอโซ ย้ำว่าเขาไม่ได้เพียงเล่าเรื่องเข้าข้างตนเองเพื่อสร้างความบริสุทธ์จอมปลอม แต่ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามความจริงที่ปรากฎทั้งสิ้น และเมื่ออัยการเบนประเด็นความผิดไปจากความจริงตามหลักความจริงที่เกิดขึ้น เมอโซถึงกับ “มึนงงจากความร้อนและประหลาดใจ” (คนนอก: หน้า 143) ราวกับการกระทำของเขาเป็นไปตามแรงดันของธรรมชาติและเขามิได้ทำอะไรไปโดยเจตนาและไม่ได้แก้ตัว
ในส่วนของ สิทธารถะ เฮสเส เฉกเช่นเดียวกันกับกามู ได้ใช้โวหาร (Literary Feature) ได้แก่ การสร้างฉาก การย้อนเรื่องทวนต้น (Flashback) และการใช้คำศัพท์เฉพาะบรรยายความสมจริงของเรื่อง โดยมีกลวิธีการเล่าเรื่องในมุมมองของบุคคลที่ ๓ (Third person point of view) ซึ่งพิสูจน์ความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นจากการเล่าเรื่องโดยผู้บรรยายผู้รอบรู้ (Omniscient Narrator) ในฉากการตรัสรู้สึ่งเป็นฉากไคลแมกซ์ของเรื่อง[2] ซึ่งมีความต่างกับ คนนอก ที่น้ำเป็นนายเหนือความเชื่อพื้นๆของสังคม น้ำทำให้เห็นถึงชีวิต ก่อให้เกิดการทวนต้น (Flashback) ไปถึงเรื่องราวชีวิตซึ่งจมหลงอยู่ในกิเลสทางโลกและการใช้ชีวิตในรูปแบบที่ทำแล้วไม่เกิดผลลัพท์ของความสงบอย่างแท้จริง และนำมาซึ่งความเข้าใจถึงความเป็นหนึ่งของทุกสรรพสิ่ง “แม้น่ำไหลเอื่อยอ่อน แม้เป็นฤดูแล้งแต่เสียงน้ำกึกก้องน่าฉงน” (สิะธาถะ: หน้า 127) เงาในน้ำเตือนถึงอดีตอันลืมเลือน เตือนถึงสัจธรรมในการใช้ชีวิต “เขาเห็นภาพหลายภาพพลิ้วไหวอยู่ในสายน้ำที่ไหลเอื่อย” (สิทธารถะ: หน้า 130) เมื่อการทวนต้นเหตุการณ์ในชีวิตทำให้เขารู้ว่าพลาดความจริงพื้นๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเพียงชื่อและคำบรรยาย แต่ที่รวมกันคือโลก ที่รวมกันคือ “กระแสของเหตุการณ์เป็นดนตรีแห่งชีวิต” (สิทธารถะ: หน้า 131) ราวกับการเห็นแจ้งของสิทธารถะว่าชีวิตเป็นราวสายน้ำ ที่ไหลไปไม่หวนทวนกลับ และดำเนินไปตามที่มันควรจะเป็น หากจะทวนกระแสน้ำอย่างที่เคย ก็จะมีเพียงความทุกข์จากการดิ้นรนเท่านั้นที่เกิดเป็นผลลัพธ์
ทั้งเมอโซ และสิทธารถะต่างก็มีความเข้าใจความจริงนี้อย่างถ่องแท้ เมื่อตัวละครเอกอธิบายความเป็นหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาตินั้น สัญลักษณ์อย่างเดียวกันได้ถูกยกขึ้นมากล่าว โดยใช้ “หิน” เป็นตัวแทนของความจริงดั่งปรากฎ โดยที่ความเข้าใจในสัจนิยมของสองตัวละคร เมอโซ กับ สิทธารถะ ต่างก็นำมาซึ่งความปลงและความเข้าใจอันลึกซึ้งและผิวเผินในขณะเดียวกัน ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นทุกอย่างและไม่เป็นอะไรเลย
เมอโซใช้ “หิน”ในการอธิบายสัจนิยมต่อหลวงพ่อ สื่อว่าไม่เกิดประโยชน์อันใดจากการจินตนาการอิสรภาพที่ไม่มีจริง “ความปวดร้าวในหัวใจ” หรือ “ใบหน้าของพระองค์ท่างกลางความมืดมน” เมื่อในความเป็นจริง “มันไม่เคยมีอะไรปรากฎออกมาเลย แม้แต่คนที่ฉันรู้จักอย่างดีในโลกนี้” (คนนอก: หน้า 164) นับประสาอะไรกับการเชื่อหวังในลางและสิ่งเหนือความจริงอันสำผัสได้ทางกาย การจินตนาการความสุขหรือการหลุดพ้นนั้นไม่ได้ทำให้ความจริงของความทุกข์แปรผันไปแต่อย่างใด
ด้านสิทธารถะ “หิน” เป็นสัญลักษณ์ (Symbol)ที่ถูกใช้เพื่อแทนชีวิตตามความเป็นจริง จากการสังเกตธรรมชาติ กลมกลืนกลับสู่ธรรมชาติผู้ให้กำเนิดชีวิต “หิน” เป็น “ทุกสิ่งมานานแล้ว และจะเป็นทุกสิ่งตลอดไป” หินที่ “ปรากฎเป็นเป็นหินอยู่ต่อหน้าผม” ความหมายและคุณค่าใน “สีเหลือง สีเทา” “ในความแข็ง” “ในความแห้งและชื้นบนพื้นผิวของมัน” (สิะธาถะ: หน้า 141) หินเป็นได้ทุกสิ่ง ไม่เพียงแค่หิน เมื่อกาลเวลาผ่านไป “หิน” จะกลายเป็นดิน เป็นปุ๋ย เป็นต้นไม้ แต่กระนั้น หินก็คือหินตามลักษณะที่ปรากฎต่อการสัมผัสทางกาย เข่นเดียวกัน แม้ในจินตนาการ”หิน”จะเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งหรือการอยู่ค้ำฟ้า แต่ใจความจริงแล้ว”หิน”ก็เป็นอย่างนั้น แปรผันไปตามกาลเวลา มีสึกกร่อน มีอ่อนเอนตามธรรมชาติของมัน
สัจนิยมในเรื่อง คนนอก และ สิทธารถะ ทำหน้าที่เป็นต้นเหตุของการฆ่าตกรรม กลวิธีการดำเนินเรื่องตามเหตุ ตามรูปลักษณ์ที่เกิดขึ้นจริง และข้อไขเค้าความนวนิยาย (Denouement) หนึ่งฆาตกรคือเมอโซ อีกหนึ่งผู้ที่ตรัสรู้แล้วคือสิทธารถะ การกระทำของทั้งเมอโซและสิทธารถะล้วนมีสัจนิยมเป็นเหตุและคำตอบ ทั้งกามู และเฮสเส ต่างก็ใช้ตัวละคร ฉาก สัญลักษณ์ และโครงสร้างเรื่องสื่อหลักสัจนิยมต่อผู้อ่านเพื่อชี้ให้เห็นถึงความหมาย หลักการของชีวิต ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีความซับซ้อน มีเพียงความง่าย และความเป็นหนึ่งของทุกสิ่ง ทิ้งแนวคิดใหม่ๆอิงหลักสัจนิยมไว้ให้ผู้อ่านได้มองชีวิตในอีกมุมหนึ่งอย่างน่าอัศจรรย์
Word count: 1450
บรรณานุกรม
ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์. (๒๕๔๕). ความแอ็บเสิร์ด การโกหก และชายอาหรับ, อ่านไม่เอาเรื่อง.
กรุงเทพ: สำนักพิมพ์คบไฟ.
อัลแบร์ กามู. (๒๕๔๙). คนนอก. กรุงเทพ: สามัญชน.
เฮอร์มานน์ เฮสเส. (๒๕๔๙). สิทธารถะ. กรุงเทพ: สร้างสรรค์บุ๊คส์.
รังสรรค์ กลิ่นแก้ว. (๒๕๔๗). ปรัชญาการศึกษา. (ออนไลน์).
http://school.net.th/library/create-web/10000/philosophy/10000-12726.html
นพดล ดีไทยสงค์. รายงานเรื่อง: ปรัชญาสัจนิยม. (ออนไลน์).
http://www.m-ed.net/doc01/realism.doc
*ความเชื่อว่าจิตของผู้รับรู้ไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบของสิ่งที่ปรากฏ หรือก็คือ ความจริงคือสิ่งที่ปรากฏโดยปราศจากการเสริมแต่ง
1. http://school.net.th/library/create-web/10000-12726.html
[2] “ใบหน้าสิทธารถะบิดเบี้ยวขณะเพ่งมองน้ำ เขาเห็นเงาสะท้อนขึ้นมา...แต่แล้วชายผู้สิ้นหวังกลับได้ยินเสียง...คำขึ้นต้นและลงท้ายบทสวดของพราหมณ์ โอม”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น