“แสง” และ “เสียง” ใน “คนนอก” และ “คนโซ”
วิจารณ์โดย สิรีธร คุ้มสถิร (เบร)
“แสง” เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความหวังและการเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิต “แสงแดด” ช่วยให้ความอบอุ่นแก่ทุกสรรพสิ่งบนพื้นโลก หากแต่ในวรรณกรรม “คนนอก” ของ อัลแบร์ กามู ผู้ประพันธ์ได้ใช้แสงแดดเป็นสัญลักษณ์ที่นำไปสู่ความตาย แสงแดดและดวงอาทิตย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อสื่อให้เห็นถึงภาพของความเจ็บปวดและความทุรนทุรายของตัวละครเอกอย่างเมอร์โซ ซึ่งขัดแย้งต่อความเป็นจริงที่ว่า “แสงแดดนำมาซึ่งความมีชีวิต” ในขณะเดียวกัน “คนโซ” ได้มีการบรรยายเสียงที่ล้อมรอบตัวละครหลักในขณะที่เป็นเพียงตัวละครเดียวที่ได้ซึมซับบทสนทนาต่างๆรอบตัว นอกจากนี้ “เสียง” ในคนโซ ยังเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตนเองถูกยอมรับจากสังคมและไม่ถูกเหยียดยำศักดิ์ศรี การเสนอและการบรรยายเสียงใน “คนโซ” เป็นการแปลกแยกและแบ่งแยกตัวละครออกจากสังคมที่เป็นอยู่ แต่ในขณะเดียวกัน “เสียง” ก็สามารถทำให้ “คนโซ” ถูกยอมรับทางสังคมด้วยเช่นกัน วรรณกรรมทั้งสองเรื่องนี้สร้างตัวละครเอกที่ถูกแยกออกจากสังคม เพียงเพราะตัวละครหลักทั้งสองเรื่องมิได้มีมุมมองหรือการพูดจาที่เหมือนกับคนในสังคม ตัวละครหลักมีมุมมองและการใช้เกี่ยวกับ “แสงแดด” และ “เสียง” ที่แตกต่างออกไป ทำให้ “คนโซ” และ “เมอร์โซ” เป็นตัวละครที่ถูกแบ่งแยกและตีออกจากสังคมสมัยนั้น
จากการที่ได้ศึกษาวรรณกรรมทั้งสองเรื่อง “คนนอก” เป็นวรรณกรรมที่กามูต้องการใช้บุคลิกของเมอร์โซเพื่อสื่อให้เห็นถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับมนุษย์ทั่วไป “แสงแดด” คือสัญลักษณ์ของความหวังและการเริ่มต้นชีวิตใหม่ หากแต่ใน “คนนอก” กามูได้ใช้ “แสงแดด” เป็นตัวสังหารตัวละครหลักอย่าง “เมอร์โซ” เพื่อสื่อให้เห็นว่า “แสงแดด” มิใช่สิ่งที่ดีเสมอไป “แสงแดด” ก็สามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตได้เช่นเดียวกัน เมอร์โซจึงกลายเป็นภาพสะท้อนจากมุมมองของคนที่เห็นความไร้สาระของชีวิตและโลกที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ หากแต่ใน “คนโซ” ไม่มีการบรรยายของ “แสงแดด” ที่นำไปสู่ความตาย ในทางกลับกัน “เสียง” ใน “คนโซ” เป็นสิ่งที่นำตัวละครหลักเข้าหาและแบ่งแยกออกจากสังคม หลายครั้งที่ “คนโซ” มิได้รับอนุญาตในเข้าวงสนทนา เยขาเป็นเพียงตนโซที่น่าขยะแขยง ยากจน และหิวโซ หากแต่ “คนโซ” ก็ได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการใช้ “เสียง” เพื่อยกระดับตัวเองให้ดูดีขึ้นและถูกยอมรับจากสังคม ไม่ถูกนินทาหรือโดยถูกดูถูกจาตนในสังคม
ในวรรณกรรม “คนโซ” ของคนุท แฮมซุน ผู้ประพันธ์ได้บรรยายฉากสภาพแวดล้อมและถนนหนทางตึกรามบ้านช่องในสังคมสมัยนั้น “เสียงกึงกังของเกวียนและเสียงพูดคุยของผู้คนดังหึงๆอยู่ในอากาศ ผสมผสานกับเสียงคนเดินและเสียงหวดแส้ของคนขับเกวียนในอัตราอันเหมาะเจาะ เสียงสัญจรของผู้คน...” (คนโซ: ๕๕) ตัวละครหลักได้อยู่ท่ามกลางของผู้คนและฝูงชน หากแต่ผู้อ่านก็สามารถสัมผัสได้ถึงความห่างไกลจากสรรพสิ่งแวดล้อมตัวละคร ตัวละครถูกสร้างขึ้นให้เป็นคนแปลกหน้าในต่างแดน เสียงต่างๆที่ดังรอบๆตัวละครนั้น เป็นเพียงเสียงและสภาพแวดล้อมที่ตัวละครหลักไม่สามารถเข้าร่วม “คนโซ” ถูกตีพิมพ์ขึ้นในช่วงสมัยแห่งการประท้วงสังคมและการโฆษณาชวนเชื่อถึงการปฏิวัติ เป็นช่วงที่ผู้คนตกงานและเศรษฐกิจตกต่ำ ตัวละครเอกของเรื่องก็เป็น “คนโซ” ที่ไม่สามารถเข้าหาสังคมได้ “คนโซ” เป็นเพียงตัวละครที่อยู่ในวรรณกรรมที่ซึมซับเหตุการณ์ บทสนทนาต่างๆรอบตัวและถูกถ่ายทอดให้กับผู้อ่านได้รับรู้
“อีตาแก่ตาบอดที่น่าขยะแขยงและสุดแสนจะทุยทึ่มผู้นี้กล้าดีอย่างไรถึงได้กล่าวขานชื่ออันโดเด่นซึ่งข้าพเจ้าได้บรรจงสร้างสรรค์ขึ้น” (คนโซ หน้า ๙๘) “คนโซ” เป็นคนจรที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสื่อถึงสภาวะบ้านเมืองเมื่อตอนที่เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนตกงาน และผู้คนยากจนไม่มีเงินซื้อข้าวกิน แฮมซุนใช้ บุรุษที่หนึ่งในการเล่าเรื่อง (First person point of view) และ กระแสสำนึก (Stream of Consciousness) ผ่านทางตัวละครเอกในเรื่อง ผู้อ่านสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึก ความคิด ทัศนคติของตัวละครที่มีต่อความรอบข้าง ถึงแม้ว่า “คนโซ” ในเรื่องจะเป็นคนที่ยากจนและไม่มีงานทำ แต่ตัวละครก็ยังคงหยิ่งและมีศักดิ์ศรีในตัวสูง คนแก่ตาบอดก็เป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นให้อยู่ในฐานะและสภาพเดียวกันกับ “คนโซ” หากแต่คนโซเป็นตัวละครที่ไม่ยอมรับความจริง “คนโซ” รำคาญเสียงสนทนาที่ “ชายชรา” สนทนาด้วยและรู้สึกรำคาญทุกสิ่งทุกอย่างที่ชายชราคนนั้นทำทั้งๆที่ตนเองก็มิได้มีสภาพที่ดีกว่าชายชราเท่าไรนัก
ทั้งนี้ ในเรื่อง “คนโซ” แฮมซุนสร้างให้ตัวละครใช้ “เสียง” เป็นประโยชน์ในการทะนงตัวและยึดมั่นในศักดิ์ศรี นอกจาก “เสียง” ที่ “คนโซ” ได้รับรู้และรับฟังจากสิ่งรอบๆตัว “คนโซ” ยังใช้ “เสียง” ในการสร้างภาพให้ตนเองดูดีและไม่ถูกดูถูกโดยคนรอบข้าง “อ้าว นี่เอ็งยังไม่รู้อีกเหรอ? ข้าเป็นพนักงานบัญชีอยู่ทีร้านคริสตีไง” (คนโซ หน้า ๑๑๘) ผู้อ่านรู้ว่าทั้งหมดที่ตัวละครพูดออกไปนั้นล้วนเป็นสิ่งไม่จริงทั้งสิ้น หากแต่ “คนโซ” พูดออกไปเพราะเขาเป็นคนมีศักดิ์ศรีและไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาดูถูกหรือสงสารเขาแต่อย่างใด “คนโซ” เล่นละครต่อสังคมภายนอก ใช้ “เสียง” หรือ “การสนทา” ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง “คนโซ” มิได้ต้องการให้ผู้ใดนินทา ดูถูกว่ายากจน เขาไม่อยากถูกสังคมรอบข้างรังเกียจ “เฮ้ย คุณเสมียน คุณระวังหน่อยซีวะ ในม้วนผ้าห่มนั้นมีแจกันโบราณอยู่คู่หนึ่งนะโว้ย ห่อให้ดีเชียวนะ ข้าจะส่งไปสมีรนาโน่น” (คนโซ หน้า ๑๑๕) เช่นเดียวกัน ผู้อ่านรู้ว่าในผ้าห่มผืนนั้นมิได้มีแจกันที่ส่งคุณค่าแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพียงของแก่ๆที่ไม่มีค่าทางวัตถุแต่อย่างใด แต่ “คนโซ” มิอยากให้ผู้ใดดูถูกตนเอง มีแค่สิ่งเดียวที่จะทำให้ “คนโซ” ถูกคนในสังคมยอมรับและไม่ถูกดูถูกศักดิ์ศรี นั้นคือใช้ “เสียง” ในการบอกเล่าเหตุการณ์และฐานะอันจอมปลอมที่ตัวละครสร้างขึ้นมาเพื่อปกปิดปดด้อยและความจริง
เมอร์โซ ใน “คนนอก” เป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสื่อให้เห็นถึงคนชนชั้นกลางระดับล่าง ตัวละครทำงานเป็นพนักงานและเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่เพียงลำพัง เมอร์โซเป็นคนที่มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ เป็นคนธรรมดาง่ายๆและมีวิถีชีวิตไม่ได้แตกต่างไปจากชาวฝรั่งเศสอื่นๆ “...ชีวิตของฉันปัจจุบันที่นี่ก็ไม่เลวนัก ซึ่งฉันก็ออกจะพอใจอยู่…” (คนนอก หน้า ๖๘) หากแต่มีสิ่งเดียวที่แปลกออกไปคือมุมมองและความชอบเกี่ยวกับแสงแดด เมอร์โซไม่สนใจกับชีวิตมากนัก แม้แต่ตอนเปิดเรื่องที่มารดาของเขาอาศัยอยู่ในบ้านพักคนชราเสียชีวิต แต่เขาก็ไม่แสดงความเสียใจใดๆ ในขณะเข้าร่วมงานศพ กามูใช้วิธีการบรรยายแบบมุมมองจากตัวของเมอร์โซเองโดยเน้นเรื่องของ อารมณ์ต่อสิ่งรอบข้างที่ดำเนินไปอย่างซ้ำซากและมีแต่คำบรรยายของดวงอาทิตย์ “ดวงอาทิตย์เอย กลิ่นหนังเอย กลิ่นขึ้ม้าเอย กลิ่นน้ำมันที่ทารถตลอกจนกลิ่นกำยาน และความเหน็คเหนื่อยจากการอดนอนเมื่อคืน” ในงานศพแม่ของเมอร์โซ ตัวละครมิได้คิดหรือรู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น หากแต่ตัวละครรำคาญแสงแดดและกำลังเมื่อยล้าจากการที่อากาศร้อนและขาดการพักผ่อน ฉากที่สร้างขึ้นเป็นฉากที่มีความร้อนและความเหนื่อยหน่าย “ดวงอาทิตย์” คือ การเริ่มต้นวันใหม่และเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ ดวงอาทิตย์ให้พลังงานและส่องแสงให้สิ่งมีชีวิตบนโลก “ดวงอาทิตย์” ในฉากของงานศพแม่เป็นเหมือนการเริ่มต้นที่ดีของชีวิตหลังความตายของแม่เมอร์โซ เป็นสัญญาณที่ดีว่าหลังจากงานศพแม่ เมอร์โซจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เขาจะอาศัยอยู่คนเดียวและทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง แต่ตัวละครหลักเองกลับรำคาญ “แสงแดด” และอยากจะให้พิธีนั้นจบสิ้นเร็วๆ
“ท้องฟ้าจ้าด้วยแสงแดดกล้า ทำให้พื้นดินผ่าวร้อนทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉันไม่รู้ว่าทำไมจึงต้องคอยนาน กว่าเราจะเริ่มขบวนออกเดิน...” (คนนอก หน้า ๓๕) ฉากนี้เป็นฉากที่เกิดขึ้นตอนที่ตัวละครเอกอย่างเมอร์โซ เดินทางไปงานศพมารดาตนเอง หากสิ่งที่ตัวละครสนใจมิใช่ศพของมารดาหรือว่าการร้องไห้โศกเศร้า เสียใจ ตัวละครเอกคอยแต่สังเกตแสงอาทิตย์ ความร้อนระอุ และความรำคาญต่อธรรมชาติหรือสิ่งที่แวดล้อมตัวละคร ฉากนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างตัวละครเอกกับธรรมชาติ ตัวละครไม่ค่อยสนใจในพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่สนใจเกี่ยวกับตัวเอง เกี่ยวกับความร้อนของเปลวแดด ทั้งๆที่เป็นงานศพของแม่ตัวเอง เป็นครั้งสุดท้ายที่เมอร์โซจะได้เห็นมารดาตนเองก่อนที่จะทำพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่เขากำลังรำคาญแสงแดดและเริ่มบ่นในใจตนเอง “ทำไมจึงต้องคอยนานกว่าเราจะเริ่มขบวน” (คนนอก หน้า ๓๕) นี้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งต่อความเป็นจริง เมอร์โซไม่เพียงแค่รำคาญต่อแสงแดด แต่เมอร์โซอยากให้งานศพของแม่จบเร็วๆเพราะว่าความร้อนที่เขามาควบคุมตนเอง ตัวละครไม่ออกอากรโศกเศร้าเสียใจ แต่กลับเร่งรัดให้พิธีกรรมนั้นเสร็จสิ้นโดยเร็ว “ฉันอดแปลกใจไม่ได้ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นเร็วมาก....เหงื่อไหลโซมเต็มหน้าฉัน ฉันไม่ได้ใส่หมวก” คนนอก หน้า ๓๖) ข้อความอ้างอิงนี้ช่วยเสริมให้ผู้อ่านได้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่า เมอร์โซมิได้สนใจในงานศพแม่แต่อย่างใด หากแต่เพ่งความสนใจไปที่ดวงอาทิตย์และเหงื่อที่ไหลเต็มหน้าของตัวละคร หากใช่ว่ากามูจะทำให้คนอ่านเห็นว่า ความเพิกเฉยต่อความตายของแม่ตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หากนี่เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ถูกสมมติขึ้นเพื่อเป็นเงื่อนไขให้เห็นว่า มนุษย์อาจจะไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขตามที่สังคมคาดหวังเสมอไป ตามภาษาปรัชญาก็คือเป็นแนวคิดที่ต่อต้านนิยัตินิยม (Anti-Determinism)
“พื้นดินแถวนี้เป็นสีสนิมและเขียนคล้ำ มีบ้านอยู่สองสามหลังซึ่งมองเห็นชัดแต่ไกล ฉันจึงเข้าใจแม่ ตอนเย็นในภูมิประเทศเช่นนี้เปรียบเสมือนการหยุดพักรบที่เศร้าซึม วันนี้แสงอาทิตย์กล้าทำให้ภูมิภาพพร่าจนแลดูอ้างว้างและหดหู่” (คนนอก หน้า ๓๕) จากที่เกริ่นไว้เบื้องต้น “แสงแดด” คือสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ เป็นการเริ่มต้นของวันใหม่ๆที่นำมาซึ่งความมีชีวิต ในวรรณกรรม “คนนอก” กามูใช้เทคนิคในการสร้างเมอร์โซให้เป็นตัวละครเอกที่สามารถรับรู้เหตุการณ์ทุกอย่างและมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแก่ผู้อ่าน ตัวละครถ่ายทอดเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆตัวให้กับผู้อ่านผ่านทางความคิด ข้อมูล ความเข้าใจ และทัศนคติ ด้วยเหตุนี้เอง ผู้อ่านสามารถรับรู้ได้จากมุมมองของเมอร์โซที่ใช้ “บุรุษที่ 1 เป็นผู้เล่าเรื่อง” (First person point of view) ว่าตัวละครเอกนี้มีความเห็นหรือมุมมองที่แตกต่างออกไปจากคนโดยทั่วไป เมอร์โซเห็น “แสงแดด” เป็นสิ่งที่ทำให้หมู่บ้านดู “อ้างว้างและหดหู่” ซึ่งขัดแย้งต่อความเป็นจริงที่ว่า “แสงแดด” นำความสดใสและสีสัน ความมีชีวิตชีวา เมอร์โซไม่ชอบ “แสงแดด” และมักจะขัดแย้งและรำคาญต่อความร้อนหรือแสงต่างๆ
“ดวงอาทิตย์อยู่เกือบตั้งฉากกับพื้นทราย และเปลวแดดเหนือพื้นทะเลเหลือที่จะทนทานได้ ไม่มีใครเหลืออยู่ที่ชายหาด... เราหายใจลำบากเมื่อมีไอร้อยของหินกรุ่นจากพื้น... ฉันมิได้คิดอะไรเลยเพราะว่าครึ่งหลับครึ่งตื่นใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรงเหนือศรีษะเปล่าของฉัน” ฉากนี้ทำให้ผู้อ่านได้รับรู้อย่างแจ่มแจ้งว่า “แสงอาทิตย์” มีอำนาจและพลังมหาศาลที่มีผลต่อตัวละครเอกอย่างเมอร์โซ เนื่องจากตัวละครหลังเป็นชนชาวฝรั่งเศส ในสมัยก่อนคนที่อาศัยอยู่ในทวีปหนาวจะชอบที่จะเหม็นแสงอาทิตย์และนอนอาบแดด หากแต่ฉากที่ถูกสร้างขึ้นเป็นเพียงที่โล่งๆ และปราศจากผู้คน มีเพียง “หิน” “แสงอาทิตย์” “ความร้อน” “เปลวแดด” และ “พื้นทราย” ซึ่งล้วนเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรงและทนทาน ไม่มีสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งรอบตัวละครที่จะอ่อนข้อให้กับอีกอย่างนึง “หิน” กับ “พื้นทราย” เป็นสัญลักษณ์ของความจริงที่ยากต่อการเปลี่ยนแปลง เป็ฯสัญลักษณ์ของความ แข็งแรงและความเข้มแช็ง เมื่อสองสิ่งนี้มารวมกันกับ “แสงแดด” และ “เปลวแดด” ซึ่งให้ภาพของความร้อนและการแผดเผา สิ่งแแวดล้อมต่างๆเหล่านี้เป็นความขัดแย้งต่อความต้องการของตัวละคร
ฉากที่สำคัญอีกฉากนึงใน “คนนอก” คือแกที่ “แสงแดด” เป็นตัวที่ทำให้ชีวิตของตัวละครเอกพลิกพลัน “หาดทรายยังคงเป็นสีเพลิงอย่างเดิม... รู้สึกหน้าผากผิวทรายทับถมอยู่ที่ฉันผู้เดียว ภายใต้แสงแดด ความร้อนประดามีดูจะทับถมอยู่ที่ฉันผู้เดียว...มีไอร้อนมาปะทะที่หน้า...ฉันจะกัดฟันกำหมัดแน่น...เอาชนะต่อแสงแดดเปรี้ยงที่สาดส่องมายังฉัน...ทุกแสงคมปลาบสะท้อนขึ้นมาจากพื้นทราย...ฉันต้องขบกรามแน่น ฉันเดินไปนาน....” (คนนอก หน้า ๘๗) สิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นให้เหมาะกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายหน้า ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นก่อให้เกิดความรำคาญและความอดกลั้นต่อสู้กับความแสบร้อนของแสงแดด ฉากนี้ถูกใช่เป็นฉากที่กระตุนอารมณ์และความอดกลั้นของเมอร์โซให้ขึ้นถึงขีดสุด เหมือนเป็นการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า (Foreshadow) ว่าหลังจากที่ถึงจุดสูงสุดของความอดทน ทุกอย่างจะระเบิดและเหตุการณ์จะพลิกพลัน “ความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ประดังกันเหนือศีรษะ มีดที่แผดเผาฉาบเสียไหม้ขนตาของฉันไปสิ้น มิหน้ำซ้ำยังทะลวงลูกตาให้เจ็บปวดเกินทน” (ตนนอก หน้า ๘๘) การบรรยายแสงแดดของกามูเหมือนเป็นการทรมานและความทุรนทุรายที่แสงแดดส่งผลต่อเมอร์โซ ข้อความอ้าวอิงนี้ สามารถใช้เป็นหลักฐานชี้แนะได้ว่าเมอร์โซมิได้มีเจตนาฆ่าชายชาวอาหรับแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะความอดทน อดกลั้นของตัวละครต่อแสงแดดได้หมดลง ทั้ง “ความร้อน” “แผดเผา” “เผาไหม้” ประดัง” ทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาพร้อมๆกันทำให้ตัวละครถึงขีดสุดและพยายามที่จะหาทางออกหรือหนีออกจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ โดยการกระทำที่ผู้อ่านไม่เคยขาดคิดมาก่อนและเป็นเหตุการณ์ที่ผู้อ่านไม่ได้รับรู้ผ่านทางความคิดหรือทัศนคติของเมอร์โซแต่อย่างใด เป็นเพราะฉากที่ถูกสร้างขึ้นให้เมอร์โซพบกับจุดจบของตน เมื่อศาลพิพากษาให้ประหารชีวิตเมอร์โซเพียงเพราะว่าเขามิได้เศร้าโศก เสียใจในงานศพมารดา มิใช่เพราะว่าเมอร์โซได้ฆ่าชาวอาหรับแต่อย่างใด
Word Count: 1985
บรรณานุกรม
คนุท แฮมซุน. (๒๕๕๐). คนโซ. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์แมวคราว.
อัลแบร์ กามู. (๒๕๔๙). คนนอก. กรุงเทพ: สามัญชน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น